ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปัญหาด้านภาษาคืออุปสรรคในการทำงานที่สำคัญประการหนึ่งของหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่ชายแดนหรือพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านพักอาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะหากไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจอย่างละเอียดก็อาจทำให้การรักษาผิดแนวทางจนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่นเดียวกับงานเชิงรุก การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ควบคุมโรคต่างๆ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) จึงเป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งในการในการขับเคลื่อนงานสาธารณสุขปฐมภูมิ ช่วยสื่อสารให้ความรู้ด้านสุขภาพ ประสานงานระหว่างหน่วยบริการและคนต่างด้าวโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานสัญชาติพม่าซึ่งมีสัดส่วนในประเทศไทยมากที่สุดในขณะนี้

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ปากน้ำ อ.เมืองระนอง จ.ระนอง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหน่วยบริการที่ใช้กลไก อสต.ในการเข้าถึงกลุ่มประชากรแรงงานพม่าและผู้ติดตาม ซึ่งจากการดำเนินงานมาประมาณ 1-2 ปีพบว่าช่วยให้งานของ รพ.สต.มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมาก

ชยานนท์ โชติมณี

ชยานนท์ โชติมณี ผู้อำนวยการ รพ.สต.ปากน้ำ กล่าวถึงสภาพบริบทในพื้นที่ว่า รพ.สต.ปากน้ำตั้งอยู่บนเกาะคณฑี ซึ่งถัดออกไปไม่ไกลก็จะเป็นเกาะสองของประเทศเมียนมาร์ มีประชากรไทยประมาณ 1,000 คน และแรงงานพม่าพร้อมผู้ติดตามอีกประมาณ 450-500 คน นอกจากนี้ยังรับผิดชอบประชากรในเกาะใกล้เคียงอีก 3 เกาะ ประชากรอีกประมาณ 300 คน

สำหรับปัญหาการทำงานกับแรงงานพม่าหลักๆ จะเป็นเรื่องภาษา เจ้าหน้าที่ฟังและพูดพม่าไม่ได้ อาจจะฟังได้เป็นคำๆ บ้าง แต่เมื่อต้องสอบถามรายละเอียดอาการก็ไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้ จำเป็นต้องสื่อสารผ่านล่าม เช่นเดียวกับการลงพื้นที่ทำงานเชิงรุกก็ไม่สามารถสื่อสารเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพการป้องกันโรคต่างๆ ได้เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ทาง รพ.สต.จึงได้จัดอบรม อสต.เข้ามาในปี 2558 และให้ทำงานร่วมกัน 3 ฝ่ายคือ รพ.สต. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และ อสม.

“ก่อนหน้านี้เราใช้วิธีขอความร่วมมือคนในชุมชน แต่ปี 2558-2559 ผมไปอบรมเรื่อง อสต.ที่กรุงเทพฯ พอกลับมาก็ตั้งทีมโดยยึดพื้นที่บ้านปากน้ำในการทำงาน อสต.รุ่นแรกเราอบรม 72 ชั่วโมง ใช้หลักสูตรอย่างเป็นทางการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มีพยาบาล นักวิชาการมาช่วยอบรม เมื่ออบรมเสร็จแล้วก็คุยกันว่าจะทำงานร่วมกันทั้ง 3 ทีม คือ อสต. อสม. และ รพ.สต. ซึ่งงานในส่วนของ อสต. จริงๆ ที่ไปอบรมมามีทั้งหมด 16 งาน แต่ผมให้ทำเพียง 4 งานเท่านั้นเนื่องจากพื้นฐานความรู้ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน 4 งานนี้ ได้แก่ งานบัตรประกันสุขภาพ งานวางแผนครอบครัว งานป้องกันโรค และฝากครรภ์ ซึ่งเป็นงานที่เขาสามารถเข้ามาช่วยได้เลยโดยไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไร เวลาลงพื้นที่เราก็จะไปด้วยกันโดยให้ อสต.ช่วยเป็นล่ามให้ นอกจากนี้ก็ให้ดูแลในชุมชนที่ตนเองพักอาศัย เช่น ช่วยให้ความรู้ ช่วยประสานงานระหว่างชาวพม่าและ รพ.สต. รวมทั้งให้ชักชวนชาวพม่าในชุมชนมารับการฉีดวัคซีนและฝากครรภ์ด้วย โดยจะมีการประชุมติดตามผลกันทุกๆ 2 เดือน” ชยานนท์ กล่าว

ทั้งนี้ คุณสมบัติในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็น อสต.นั้น จะต้องอยู่ในพื้นที่มาไม่น้อยกว่า 6 เดือน และสามารถพูดภาษาไทยได้บ้าง และหากมีบัตรประกันสุขภาพแล้วก็จะพิจารณาก่อนคนที่ไม่มี ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่ อสต.จะได้รับคือการรักษาฟรีที่ รพ.สต.ปากน้ำ

“เราให้สิทธิรักษาพยาบาลฟรี ทำเป็นบัตรให้เลย เวลาเขามารับบริการเจ้าหน้าที่ก็จะรู้และให้การรักษาฟรี แต่จริงๆ แล้วคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็มีบัตรประกันสุขภาพกันอยู่แล้ว เพียงแต่เราให้เขาเพื่อเป็นสินน้ำใจ เมื่อเขามาช่วยเรา เราก็ให้เขาตอบแทน” ชยานนท์ กล่าว

ผู้อำนวยการ รพ.สต.ปากน้ำ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ปี 2559-2560 ใน 4 งานที่ให้ อสต.เข้ามาช่วยทำงานนั้น พบว่าสามารถขายบัตรประกันสุขภาพได้มากขึ้น แต่ไม่แน่ว่ามากขึ้นเพราะทีมงาน อสต. หรือเพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องขนขวายหาหลักประกัน หรือเป็นเพราะโรงพยาบาลประชาสัมพันธ์มากขึ้นกันแน่ ส่วนจำนวนงานเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวยังอยู่ในระดับเดิม แปลว่าการท้องไม่เพิ่มขึ้น

“ส่วนงานป้องกันโรค การฉีดวัคซีนต่างๆ พบว่าตัวเลขการรับวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าเป็นผลจากการที่ อสต.เข้าไปคุยในพื้นที่ทำให้แรงงานพม่ามั่นใจว่าพื้นที่นี้เป็นมิตรกับเขาและกล้าพาบุตรหลานมารับบริการ แต่ผมจะไม่พูดว่าผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์เพราะพื้นที่เรามีการหมุนเวียนสูง อยู่บนเกาะปีหนึ่ง ปีหน้าย้ายที่ทำงานเขาก็อาจย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอให้ใกล้ที่ทำงานมากขึ้น” ชยานนท์ กล่าว

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่อัตราการหมุนเวียนของประชากรในพื้นที่สูงนี้เอง ทำให้ อสต.รุ่นแรกย้ายออกไปเกือบหมด บ้างก็ย้ายไปทำงานบนแผ่นดินใหญ่ บ้างก็ย้ายกลับพม่า ด้วยเหตุนี้จึงมีการอบรมรุ่นที่ 2 ขึ้นมาโดยคัดเลือกตามพื้นที่ในแต่ละโซนเพื่อให้จับคู่กับ อสม.ในโซนนั้น โดยปัจจุบันมี อสต.ทำงานร่วมกันทั้งหมด 15 คน และนอกจากการอบรม อสต.รุ่น 2 แล้ว ทาง รพ.สต.ยังเข้าไปอบรมเด็กลูกหลานแรงงานพม่าในโรงเรียนเพื่อให้ช่วยสื่อสารความรู้เรื่องสุขภาพแก่ผู้ปกครองอีกทางหนึ่งด้วย

“ตัวอย่างเช่นผมไปตรวจสุขภาพ ตรวจไม่ได้พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แปลไม่ถูก ปวดท้องไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือถ้าพอรู้ว่าเป็นโรคอะไร แต่เวลาจ่ายยา การแนะนำการทานยาเช้าเที่ยงเย็นทานยังไงก็ผิดพลาดหมด นี่คือปัญหาของเรา ก็จะให้เด็กสื่อสารกับผู้ปกครองว่ากินยาต้องกินอย่างไรถึงถูกวิธี เป็นต้น” ชยานนท์ กล่าว

ผู้อำนวยการ รพ.สต.ปากน้ำ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลไก อสต.ทำงานได้ผลดีในพื้นที่นี้ เนื่องจาก อสต.ส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านซึ่งมักอยู่กับบ้าน ขณะที่สามีออกไปทำงานประมง และด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะก็ทำให้ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน ต่างจาก รพ.สต.อื่นๆ ที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ซึ่ง อสต.บางส่วนก็ทำงานในโรงงานทั้งสามีภรรยา ทำให้ไม่มีเวลามาช่วยงาน รพ.สต.ได้เต็มที่นัก

“ประการสำคัญคือต้องสร้างความมั่นใจว่าคุณต้องเข้ามาช่วยเพราะทีมงาน รพ.สต.เราพูดภาษาพม่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกคุณก็อยู่ลำบาก เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง และ อสต.ของเราก็อยากที่จะเข้ามาทำงานอยู่แล้วด้วย ก็ทำให้การทำงานได้ผลดี โดยปี 2561 ผมตั้งเป้าหมายเพิ่มอีกว่าแรงงานต่างด้าวบนเกาะต้องมารักษาที่เราไม่ต่ำกว่า 80% ยอดขายบัตรประกันสุขภาพต้องมากขึ้น และเราจะเพิ่มงาน อสต.ในการคัดกรองเบาหวาน เยี่ยมบ้านและเข้าไปทำงานกับโรงเรียนมากขึ้น” ชยานนท์ กล่าว

มี โซ่ หัวหน้า อสต. ของ รพ.สต.ปากน้ำ

ด้าน มี โซ่ หัวหน้า อสต. ของ รพ.สต.ปากน้ำ กล่าวว่า ปกติทำงานเป็นแม่บ้าน สามีเป็นคนขับเรือวิ่งไปกลับระหว่างเกาะสองกับประเทศไทย และหลังจากเข้ามาทำงานเป็น อสต.แล้วรู้สึกชอบมากเพราะเหมือนได้ช่วยเหลือคนบ้านเดียวกัน บางคนที่ไม่รู้อะไรเลย พูดไทยไม่ได้ก็หวังพึ่งพาเรา คนในชุมชนก็จะรู้จักตนหมด ถ้ามีคนเจ็บป่วยก็จะช่วยประสานงาน ช่วยแปลให้ หรือพามาส่งให้ที่ รพ.สต.เลย

มี โซ่ กล่าวอีกว่า สำหรับประชากรพม่าบนเกาะจะมีประมาณ 450-500 กว่าคน ทั้งแรงงานและผู้ติดตาม ส่วนมากจะพักอาศัยในโซนหมู่ 1 และหมู่ 2 ซึ่งในส่วนของหมู่ 2 ส่วนมากเป็นผู้หญิงหมดเพราะผู้ชายจะออกทะเลไปกับเรือประมง แต่ถ้าคนที่อาศัยในหมู่ 1 ผู้ชายส่วนมากจะวิ่งเรือไปกลับเกาะสอง ส่วนผู้หญิงก็ไปทำงานบนแผ่นดินใหญ่ ทำโรงงานบ้าง แพปลาบ้าง ซึ่งในส่วนของการทำงานนั้น จะลงพื้นที่สัปดาห์ละ 2-3 วัน ไปพร้อมๆ กับ อสม. เมื่อ อสม.ให้คำแนะนำให้ความรู้ต่างๆ ก็จะช่วยแปลให้

นอกจากลงพื้นที่พร้อมกับ อสม.แล้ว บางครั้งก็แยกกันลงพื้นที่ด้วย โดย อสต.จะดูในส่วนของชุมชนพม่า ซึ่งในส่วนของตนเอง หากเจอคนพม่าด้วยกันก็จะพยายามพูดคุยสอบถามสุขภาพ ถ้าเจอคนท้องก็จะแนะนำให้ไปฝากท้องที่ รพ.สต. เจอเด็กก็ขอดูสมุดบันทึกว่ารับวัคซีนแล้วหรือยัง ถ้ายังก็จะโน้มน้าวผู้ปกครองให้พามาฉีดที่ รพ.สต. รวมทั้งช่วยประสานงานกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินด้วย

มี โซ่ กล่าวอีกว่า การที่ให้ อสต.ชาวพม่าสื่อสารกับคนพม่าด้วยกันเอง ช่วยให้ชาวพม่าเกิดความเชื่อถือหรือไว้วางใจที่จะเข้าไปรับบริการมากขึ้น แต่การทำงานก็เจอปัญหาบ้าง เช่น เวลาไปให้ความรู้ บางคนก็ไม่ให้ความร่วมมือ นอกจากไม่เชื่อแล้วยังด่ากลับมาก็มี หรือการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นก็จะไม่ค่อยเชื่อฟัง

สำหรับสิ่งที่อยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุนการทำงานนั้น มี โซ่ กล่าวว่าอยากให้รัฐไทยช่วยทำบัตรประจำตัว อสต.ให้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและรับประกันว่าเป็นคนที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เพราะที่เจอมาคือบางครั้งจะเข้าไปพูดคุยกับแรงงานพม่าในพื้นที่ของนายจ้างชาวไทยก็จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า เพราะทางเจ้าของพื้นที่ก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ดังนั้นหากมีบัตรประจำตัวก็น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกและทำให้รู้ว่าเป็น อสต.มาจากสถานีอนามัย

“ส่วนเรื่องเบี้ยเลี้ยงหรือค่าตอบแทนเราไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย เพราะเรามาทำแบบสมัครใจ อยากช่วยคนบ้านเดียวกันมากกว่า” มี โซ่ กล่าวทิ้งท้าย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง