ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ช่วงนี้อากาศในบ้านเราเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวมีฝน เดี๋ยวมีอากาศร้อน บางวันอาจมีสลับครบทั้ง 3 ฤดูเลยก็มี ดังนั้นโอกาสที่จะเจ็บป่วยเป็นหวัด เจ็บคอ กันในง่ายๆ ในช่วงที่มีฝนตกพรำๆ แบบนี้

การป้องกันและดูแลสุขภาพทำได้ง่ายๆ วัตถุดิบก็สามารถหาซื้อได้ง่าย ศราวุฒิ อิสโร แพทย์แผนไทยโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่าในช่วงฤดูฝนแบบนี้ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนในการช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกาย

ศราวุฒิ อิสโร

ศราวุฒิ กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนแบบนี้อากาศจะมีความชื้นสูง ในทางการแพทย์แผนไทยระบุว่าอากาศในฤดูฝนหรือวสันตฤดูจะส่งผลต่อร่างกายในธาตุลม ทำให้ธาตุลมกำเริบ หมายความว่าเราจะเจ็บป่วยง่ายกับโรคลม ซึ่งโรคลมในที่นี้ คือ ทำให้เราเป็นหวัดง่าย เจ็บคอ มีเสมหะเหนียวข้น การดูแลสุขภาพช่วงนี้ คือ รับประทานอาหารที่มีรสร้อนจะช่วยในเรื่องของการทำให้ร่างกายอบอุ่น

ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย มีตำรับยาที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ตำรับยาตรีสะตุ คือ ตัวยาฤทธิ์ร้อน 3 อย่าง ที่จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ได้แก่ เหง้าขิงแห้ง พริกไทย ดอกดีปลี ซึ่งยาตำรับนี้มีมาตั้งแต่สมัยพ่อปู่ชีวกโกมารภัจจ์ที่เป็นบรมครูของการแพทย์แผนไทยที่รวบรวมตำรามาสืบทอดมาจนถึงรุ่นแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนไทยประยุกต์จนถึงปัจจุบันนี้ ที่ผ่านมาเป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้ว ผ่านการพิสูจน์และใช้แพร่หลายเป็นที่ได้มาตั้งเป็นตำหรับยาประจำฤดูฝน

ส่วนสมุนไพรทั้ง 3 อย่างนี้มีสรรพคุณดังนี้

เหง้าขิงแห้ง จะมีรสหวาน เผ็ดร้อน จะช่วยขับลม แก้ท้องอืด ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ตัวนี้จะทำให้ร่างกายเราอบอุ่นยิ่งขึ้น

เมล็ดพริกไทย มีรสเผ็ดร้อน จะแก้ในเรื่องของลมในช่องท้อง หรือบำรุงธาตุ และยังทำให้ร่างกายอบอุ่นได้ด้วย

ดอกดีปลี จะมีรสเผ็ดร้อน ขม ลดอาการอักเสบ ช่วยในเรื่องของปวดเมื่อยร่างกายได้ด้วย

วิธีทำ นำเหง้าขิงแห้ง เมล็ดพริกไทย ดอกดีปลี มาต้มรวมกัน ยาตัวนี้จะเป็นยาประจำฤดูฝน ถ้าทาน 3 ตัวนี้ในปริมาณที่เท่ากัน อย่างละ 15 กรัม จะช่วยปรับธาตุ และคุมธาตุลมของเรา ทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่ถ้าหาวัตถุดิบไม่ได้ จะทานเป็นบางตัวก็ได้ แต่แนะนำให้ทานน้ำขิงดีกว่า แต่ตัวอื่นไม่แนะนำเพราะจะร้อนเกินไป

ทั้ง 3 ตัวยาที่มีสะตุ(ความร้อน) คือ ยาฤทธิ์ร้อน 3 ตัวนี้มีสรรพคุณในทางเดียวกันแต่ไม่ขัดกัน จะช่วยในเรื่องบำรุงธาตุ และเรื่องต่างๆ ไปในทิศทางเดียวกัน

หรือถ้าอยากจะทำน้ำขิงทานอย่างเดียวสามารถทำได้ โดยใช้ขิงสด นำมาล้างทำความสะอาดแล้วก็หั่นบางๆ ตากแดด 1-2 แดด โดยใช้ขิงขิง 15 กรัมใส่น้ำ 500 cc หรือครึ่งลิตร ต้มประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าจะเดือด แล้วก็ปล่อยเคี่ยวอีกประมาณ 5 นาที หรือเคี่ยวไปจนน้ำขิงเหลือประมาณ 1 ใน 3 ที่เคี่ยวนานเพื่อให้ตัวยามันออก ยิ่งเข้มเท่าไหร่ยิ่งดีตัวฤทธิ์ของขิง จะมีรสหวานเผ็ดร้อน เราเอาฤทธิ์ไปช่วยในเรื่องของคลื่นไส้ อาเจียนได้ และจะช่วยขับลมในเส้นได้ด้วย แต่ถ้าทานลำบากสามารถเติมน้ำผึ้งได้ เพื่อบำรุงกำลัง ประมาณ 1 ช้อนชา จะทำให้รสกลมกล่อมมากขึ้น แล้วทานง่ายขึ้น

ส่วนอาหารที่สามารถปรุงรับประทานได้มีฤทธิ์ร้อน จะแนะนำพวกแกงส้ม ปลาราดน้ำพริก ไก่ผัดขิง แกงข่าไก่ ต้มจืดกะเพรา พวกนี้มีฤทธิ์ร้อน ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น

วิธีรับประทานควรทานก่อนอาหารเช้า เย็น เพราะยาจะออกฤทธิ์ง่าย ออกฤทธิ์ดีช่วงท้องว่าง พอเราทานอาหารเข้าไป ท้องจะไม่ร้อนมาก จะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและลมในร่างกายปรับสภาพ ปรับธาตุไปในตัว

นอกจากนี้ ศราวุฒิ ยังได้บอกถึงประโยชน์ตำรับยังดังกล่าวว่า ตำรับยานี้ช่วยคนที่มีภาวะย่อยยาก เผาผลาญน้อย คนที่มีไขมันเยอะ บางโรงพยาบาลนำตำหรับนี้มาช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักในคลินิกลดน้ำหนัก ลดพวกไขมันในเส้นเลือดได้ ลดน้ำตาล ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยขับลม คลายกล้ามเนื้อ และยังช่วยในเรื่องของขับเมือกมันในลำไส้ได้ด้วย

ทั้งนี้ เมือกมันในลำไส้ คือ คราบมันที่เราทานเข้าไปแล้วเกิดไปเกาะที่ผนังลำไส้แล้วไม่ออก เกิดเป็นไขมันสะสมที่ผนังลำไส้ ตำหรับยาตัวนี้จะช่วยขับและค่อยๆ สลายตัวไขมันที่เกาะอยู่ข้างๆ พวกเมือกมันที่ไหลออกยาก ออกมาทางอุจจาระ แต่ถ้าติดอยู่นานจะทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง แล้วยิ่งถ้าเราดื่มแอลกอฮอล์หรือน้ำเย็นบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ไขมันพวกนี้เกาะได้ดียิ่งขึ้น ทางที่ดีแนะนำให้ทานอาหารพวกเผ็ดร้อน เพื่อขับลม และสลายไขมันพวกนี้ให้ค่อยๆ หลุดออก ให้งดเรื่องของน้ำเย็นไปเลยก็ยิ่งดี

“ข้อควรระวังผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากยามีฤทธิ์ร้อน มีผลกระทบต่อฮอร์โมนและเด็กภายในครรภ์ และผู้ป่วยที่รับประทานยาสลายลิ่มเลือด มันจะไปต้านการแข็งตัวของเลือด ”

ศราวุฒิ กล่าวสรุปว่า ข้อดีของการทานยาหรือตัวยาแพทย์แผนไทยจะไม่สะสมในร่างกายแน่นอน เมื่อรักษาเสร็จสามารถขับออกได้เลย แต่ยาแผนปัจจุบันเมื่อทานไปเยอะๆ อาจจะมีส่วนที่ตกค้าง ดังนั้นดุลพินิจของการใช้ยาขึ้นอยู่กับแพทย์ ตามอาการและโรคนั้นๆ ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ยาแผนปัจจุบันก็ให้ใช้ตามแพทย์สั่ง อย่าใช้เกินโดส หรือพลการ แต่ถ้ายาแผนไทย แนะนำให้ศึกษาหาความรู้ให้ดี และถ้าเป็นไปได้ให้พบแพทย์แผนไทยผู้ที่มีความชำนาญในเรื่องสมุนไพรจะดีกว่า แต่ถ้าเป็นยาสามัญประจำบ้านก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน ควรใช้ยาแผนไทยที่มี GMP

เหง้าขิงแห้ง

เมล็ดพริกไทย

ดอกดีปลี

ขอบคุณภาพจาก www.thaicrudedrug.com

เรื่องที่เกี่ยวข้อง