ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประกาศแล้ว พ.ร.บ.เงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 มีผลบังคับใช้ 9 ธันวาคม 2561 ปรับปรุงค่ารักษาและขยายความคุ้มครองแก่ลูกจ้างของส่วนราชการ ขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างซึ่งทำงานในองค์กรของนายจ้างที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาการเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาการเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไป โดยพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับใหม่) นี้ได้มีการปรับปรุงค่ารักษาและขยายความคุ้มครองให้ลูกจ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานโดย พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ ลูกจ้างได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น และนายจ้างได้รับความเป็นธรรม

นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า พระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ได้มีสาระสำคัญ คือ ได้มีการขยายความคุ้มครองแก่ลูกจ้างของส่วนราชการ ขยายความคุ้มครอง ให้ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างซึ่งทำงานในองค์กรของนายจ้างที่มิได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ รวมถึงการออกกฎหมายบังคับใช้เกี่ยวกับขอบเขตการคุ้มครองลูกจ้างซึ่งได้รับการจ้างงานในประเทศ (Local staff) ของสถานเอกอัครราชทูตและองค์การระหว่างประเทศ เพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ภัยพิบัติ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับความหมายหรือลักษณะของภัยพิบัติลดการจ่ายเงินเพิ่มตามกฎหมายในท้องที่ประสบภัยพิบัติตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพกรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย หรือสูญหาย โดยออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อให้ลูกจ้างได้รับประโยชน์ ดังนี้ เพิ่มอัตราค่าทดแทนกรณีต่างๆ จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน

เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้าง ทุพพลภาพเป็นไม่น้อยกว่า 15 ปี (เดิมไม่เกิน 15 ปี) เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้าง ถึงแก่ความตายหรือสูญหายมีกำหนด 10 ปี (เดิมกำหนด 8 ปี) อีกทั้งกำหนดการจ่ายค่าทดแทนสำหรับกรณีลูกจ้าง ไม่สามารถทำงานได้ให้ได้รับตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ (เดิมจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้าง ไม่สามารถทำงานติดต่อกันเกิน 3 วัน) เพิ่มการจ่ายค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้าง ตามอัตราที่กำหนด ในกฎกระทรวง (เดิมจ่ายค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้างเป็นจำนวน 100 เท่า ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน)

ในส่วนของนายจ้างก็จะได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทนนี้เช่นกัน กล่าวคือกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน (ฉบับใหม่นี้) ได้มีการปรับลดเงินเพิ่มตามกฎหมายจากเดิมร้อยละ 3 ต่อเดือน ลดลงเหลือร้อยละ 2 ต่อเดือน และกำหนดเกณฑ์การคำนวณเงินเพิ่ม กรณีนายจ้างค้างชำระเงินสมทบ โดยกำหนดให้จำนวนเงินเพิ่มต้องไม่เกินจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย (เดิมไม่ได้กำหนดเพดานเงินเพิ่มไว้) เป็นต้น

นายอนันต์ชัย กล่าวว่า พระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 นี้ จะส่งผลให้ลูกจ้างมีหลักประกันของชีวิตดีขึ้น รวมถึงค่าทดแทนการขาดรายได้ และระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตในกรณีไม่สามารถทำงานได้มีความจำเป็นต้องหยุดงาน และในส่วนของนายจ้างเองก็จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราเงินเพิ่ม ส่งผลให้สถานภาพด้านการเงินของนายจ้างมีความมั่นคง เสริมสร้างสังคมประเทศชาติให้มีเสถียรภาพเป็นปึกแผ่น มีความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป