ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 1 ราย ประวัติสัมผัสคนป่วยลำดับที่ 37 รวมประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 43 ราย รักษากาย 31 ราย เหลือรักษาใน รพ. 11 ราย เสียชีวิต 1 ราย เตือนหากผู้ป่วยสงสัย มีไข้ ไอ โรคระบบทางเดินหายใจ ขออย่าเดินทางมาที่ รพ.เอง แต่ขอให้โทรสายด่วน 1422

เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวแถลงความคืบหน้าการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1 ราย อาชีพ ดูแลนักท่องเที่ยว เป็นคนที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยลำดับที่ 37 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถให้นักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็รักษาผู้ป่วยหายเพิ่ม 1 ราย เป็นหญิงชาวไทย ที่กลับจากญี่ปุ่น และรักษาที่ รพ.ราชวิถี สรุปประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 43 ราย ยังเหลือรักษาใน รพ. 11 ราย ที่เหลือรักษาหาย กลับบ้านแล้ว 31 ราย เสียชีวิต 1 ราย ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 1 มี.ค. 3,252 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,872 ราย ยังคงรักษาใน รพ. 1,380 ราย

นพ.สุขุม กล่าวต่อว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคในหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก กระทรวงมีการปรับเกณฑ์เฝ้าระวังเพิ่มในผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเป็นกลุ่มก้อน 5 คนขึ้นไป และจากนี้หากผู้ป่วยสงสัย มีไข้ ไอ โรคระบบทางเดินหายใจ ขออย่าเดินทางมาที่ รพ.เอง แต่ขอให้โทรสายด่วน 1422 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปรับตัวเข้ามารักษาเอง ซึ่งวันนี้ในการประชุมทางไกลร่วมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ได้สั่งการมาตรการเฝ้าระวังเพิ่มเติมแล้ว ทั้งนี้ขอย้ำว่าประเทศไทยยังอยู่ในการระบาดระยะที่ 2 หากประชาชนกลับมาจากประเทศที่มีการระบาด ให้เฝ้าระวังตัวเองอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้ประเทศที่มีการเฝ้าระวังตอนนี้มี จีน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า อิหร่าน อเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องหน้ากากอนามัยในสถานพยาบาลไม่เพียงพอนั้น ได้ให้มีการสำรวจในสถานพยาบาลแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว พบว่าบางพื้นที่ขาดจริง บางพื้นที่เพียงพอ ส่วนบางพื้นที่ก็เกิน ให้มีการพิจารณาบริหารจัดการและเกลี่ยมายังสถานพยาบาลให้เพียงพอ และเรื่องนี้กรมการค้าภายในรับทราบแล้ว จะต้องจัดโควตาสำหรับสถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนให้เพียงพอกับการใช้งาน นอกจากนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการด้านวิชาการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 จำนวน 8 คนมีหน้าที่และอำนาจให้คำแนะนำแก่ รมว.สาธารณสุข ในการประกาศพื้นที่เขตติดโรค และให้คำแนะนำแก่อธิบดีกรมควบคุมโรค ในการประกาศโรคระบาด ให้คำแนะนำแก่ รมว.สาธารณสุขหรืออธิบดีกรมควบคุมโรค ในการประกาศยกเลิก เมื่อสภาวการณ์ของโรคสงบลงหรือมีเหตุอันควร และปฏิบัติการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนเรื่องยารักษา ฟาวิพิราเวียร์ ได้มีการประสานทางการทูต วันนี้มีการนำเข้ามาจากประเทศจีนจำนวน 2,000 เม็ด ซึ่งจะมีทีมแพทย์พิจารณาว่าจะใช้กับผู้ป่วยรายใด ทั้งนี้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยานี้ 1 ราย จะต้องใช้ 50 เม็ด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถใช้ยาตัวอื่นในการรักษาได้

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในรายผู้เสียชีวิต ผู้รับผิดชอบได้รวบรวมข้อมูลเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการด้านวิชาการฯ ปกติเวลาบอกว่าคนไข้เป็นอะไร แพทย์ที่รักษาจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด และเป็นเรื่องปกติในวงการแพทย์ จะมีการนำข้อมูลไปปรึกษาหารือเป็นองค์คณะ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ส่วนนี้ก็เช่นกัน ยืนยันว่าเราไม่ได้มีการปฏิเสธ หรือปกปิดใด ๆ แต่ต้องนำเข้าคณะกรรมการวิชาการ

เมื่อถามว่าขณะนี้ทราบรายงานว่าจะมีการนำเอาสต็อกหน้ากากอนามัยจากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เตรียมสต็อกไว้สำหรับสถานพยาบาลมาแจกประชาชนด้วย การที่เอามาแจกเช่นนี้แปลว่าสต็อกสำหรับสถานพยาบาลมีเพียงพอแล้วหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หน้ากากอนามัยที่แจกจ่ายให้กับประชาชนเป็นคนละส่วนกับหน้ากากอนามัยที่กันไว้ใช้ในสถานพยาบาล ที่นำมาแจก เป็นส่วนที่ได้รับเพิ่มเติมมาจากการบริจาค ดังนั้นสต็อกหน้ากากอนามัยสำหรับสถานพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีเพียงพอ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ได้สั่งการเพิ่มเติมไปแล้วให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 12 เขตสำรวจในพื้นที่ของตนและให้มีการบริหารจัดการหากไม่เพียงพอก็ให้รีบแจ้ง

เมื่อถามว่า ขณะนี้ มีแรงงานไทย ในประเทศเกาหลีใต้ ที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ขอให้ทางการไทยช่วยเหลือกลับประเทศ กรณีนี้หากกลับมา กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการอย่างไร นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอกระทรวงการต่างประเทศที่จะประสานให้การดูแลประชาชนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามตามขั้นตอนจะต้องมีการคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง หากมีไข้ต้องรักษาให้หายก่อนจึงจะอนุญาตให้กลับเข้าไทยได้ หากไม่มีไข้ เมื่อกลับเข้ามาก็ต้องตรวจไข้ซ้ำ หากไม่มีไข้ ก็ให้เฝ้าระวังตัวเองเป็นระยะเวลา 14 วัน ผู้สื่อข่าวถามว่าเนื่องจากเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายแรงงานเหล่านี้จึงมีความกังวลขอให้ทางการไทยช่วย ดังนั้นหากกลับมาเป็นกลุ่มก้อนจะมีมาตรการดูแลเช่นเดียวกับการรับกลุ่มคนไทยกลับมาจากอู่ฮั่นหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจะประสานข้อมูลกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด