ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข รายงานผลการสำรวจการปฏิบัติตามมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งล่าสุดวันที่ 7 เม.ย. 2563 พบว่าตัวเลขต่างๆมีแนวโน้มแย่ลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนผู้ที่ออกจากบ้านจาก 33.1% เพิ่มขึ้นเป็น 36.9% ขณะที่สัดส่วนผู้ที่อยู่บ้าน (ไม่มีคนมาหา) ลดลงจาก 54.6 % เป็น 50.8% ส่วนผู้ที่อยู่บ้านแต่มีคนมาหามีสัดส่วนอยู่ที่ 12.3%

ทำแบบสอบถามทุกวันได้ ทีนี่

โดยหากพิจารณาตัวเลขเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 2-7 เม.ย. 2563 จะพบแนวโน้มดังนี้

ทั้งนี้ หากพิจารณาสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต้องออกจากบ้านในวันที่ 7 เม.ย. พบว่าจำนวนผู้ที่ต้องออกไปทำงานเพิ่มขึ้นจาก 28.3% เป็น 36.4% และอีก 64.9% ออกจากบ้านด้วยเหตุจำเป็นอื่น เช่น ซื้ออาหาร-ของใช้ ทำธุรกรรม โดยใช้บริการขนส่งสาธารณะลดลงจาก 5.4% เป็น 4.9% โดยได้พูดคุยหรืออยู่ใกล้กับคนนอกบ้านน้อยกว่า 2 เมตรเฉลี่ยอยู่ที่ 5 คน ซึ่งตัวเลขนี้ลดลงจากวันก่อนๆที่อยู่ที่ระดับ 7-8 คน

สำหรับวิธีการป้องกันตนเองของผู้ที่ออกจากบ้าน มีสัดส่วนการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ดังนี้

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองของผู้ที่ออกจากบ้าน มีความเคร่งครัดน้อยลงเล็กน้อย ยกเว้นการเว้นระยะห่าง 1-2 เมตรเมื่อคุยกับผู้อื่น มีสัดส่วนเท่าเดิมประมาณ 66.6% - 66.7%

นอกจากนี้ สัดส่วนผู้ที่ไปสถานที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ในรอบ 14 วันที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลง จาก 28.0% ในวันที่ 6 เม.ย. เป็น 27.2% ในวันที่ 7 เม.ย. และสัดส่วนผู้ที่จะกักตัว 14 วันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนในบ้านหากคิดว่าตนเองมีความเสี่ยงอยู่ที่ 89.3 % ในขณะนี้