ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อู่ฮั่น, 13 เม.ย. (ซินหัว) — แม้ว่าจีนมีจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ติดโรคภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำ อันเป็นผลจากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด แต่ผู้ป่วยจากต่างประเทศและบรรดาพาหะไร้อาการของโรคนั้นกลับกลายเป็นประเด็นใหญ่ในหมู่ผู้ที่หวั่นวิตกว่าจะเกิดการติดเชื้อใหญ่ระลอกที่สอง

ตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) เมื่อวันอาทิตย์ (12 เม.ย.) เปิดเผยว่าจีนแผ่นดินใหญ่มีผู้ป่วยไม่แสดงอาการรายใหม่ 61 ราย ในจำนวนนี้มี 12 ราย มาจากต่างประเทศ ส่วนผู้ป่วยไม่แสดงอาการซึ่งเดินทางจากต่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 28 ราย ถูกจัดกลุ่มใหม่ให้อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน ขณะที่ผู้ป่วยไม่แสดงอาการที่ยังอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ทางการแพทย์ มีอยู่ 1,064 ราย เมื่อนับถึงวันอาทิตย์ (12 เม.ย.)

ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญ 4 ประการ เพื่อทำความเข้าใจผู้ที่เป็นพาหะซึ่งไม่แสดงอาการให้ดียิ่งขึ้น

1. แพร่เชื้อได้มากแค่ไหน?

“ความสามารถในการแพร่เชื้อของพาหะที่ไม่แสดงอาการขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป หากพบผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวหลังมีการกักตัวเป็นเวลานานในอู่ฮั่น อัตราการแพร่เชื้อจะอยู่ในระดับต่ำมาก ทว่าหากมีการพบผู้เป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการในกลุ่มผู้ที่กลับมาจากที่ที่เกิดการแพร่ระบาดอย่างหนัก อัตราการติดเชื้อจะค่อนข้างสูง” เว่ยเซิ่ง ศาสตราจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ วิทยาลัยแพทย์ถงจี้ แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวจงกล่าว

ถงจาวฮุย รองประธานโรงพยาบาลปักกิ่งเฉาหยาง ระบุว่าการติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการมีอยู่ 2 สองประเภท “ประเภทแรกคือ ‘กลุ่มก่อนเกิดอาการ’ (pre-symptomatic) หมายถึงผู้ป่วยที่ยังไม่พัฒนาอาการใดๆ แต่ที่จริงแล้วอยู่ในระยะฟักตัว (incubation) คนกลุ่มนี้ต้องถูกแยกออกมาและจัดการในลักษณะเดียวกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโรค”

“ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ทั้งไม่แสดงอาการและไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยา (pathological changes) ในผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ซึ่งเป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการโดยแท้จริง พวกเขาไม่ถูกนับเป็นผู้ป่วย แต่มีผลทดสอบกรดนิวคลีอิกออกมาเป็นบวก”

ผลการวิเคราะห์โดยคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับผู้ที่เป็น “พาหะเงียบ” ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่มีการรายงานจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.-8 เม.ย. ชี้ว่าสัดส่วนของพาหะเงียบที่พัฒนาไปสู่ผู้ป่วยยืนยันผลนั้นกำลังลดต่ำลง โดยอัตราส่วนยังคงต่ำกว่าร้อยละ 11.2 หลังจากวันที่ 10 มี.ค. เป็นต้นมา และในบางสถานที่ยังต่ำกว่าร้อยละ 6 อีกด้วย

“พาหะที่ไม่แสดงอาการจะมีความสามารถในการแพร่เชื้อในระดับหนึ่ง แต่โดยทั่วไปจะอยู่ในระดับต่ำและต่ำกว่าผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการ” ถงกล่าว “ละอองที่มีเชื้อไวรัสไม่สามารถกระจายออกมาได้หากไม่จาม ไอ หรือมีอาการอื่นๆ ดังนั้นพาหะเงียบจึงมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นน้อยกว่า”

“ผู้คนในอู่ฮั่นส่วนใหญ่ถูกกักตัวนานกว่า 70 วัน โอกาสที่จะมีการติดเชื้อจากคนอู่ฮั่นที่ถือรหัสสุขภาพสีเขียวหรือรหัสที่ชี้ว่ามีสุขภาพดี จึงมีน้อยมาก” เว่ยกล่าว

2. การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการจะก่อให้เกิดการระบาดซ้ำได้หรือไม่?

คำสั่งปิดการเดินทางขาออกของนครอู่ฮั่น ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีน ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 เม.ย. หลังผ่านพ้นการปิดเมืองไป 76 วัน จึงมีการมุ่งความสนใจไปที่ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในที่ทำงานมากขึ้น

“การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการไม่ใช่อะไรที่พิเศษนักสำหรับโรคโควิด-19 โรคติดเชื้อต่างๆ อาทิ โรคหัด ไข้หวัดใหญ่ และโรคซาร์ส (SARS) ล้วนมีสัดส่วนของผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการในระดับหนึ่ง และไม่มีพาหะเงียบรายใดที่ก่อให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างในสังคม” ถงกล่าว

ถงระบุว่าการตรวจสอบทางระบาดวิทยาเบื้องต้นของทั้งโรคซาร์สและโรคโควิด-19 ได้พิสูจน์แล้วว่าพาหะที่ไม่แสดงอาการจะมีการแพร่เชื้อในระดับที่จำกัดมาก และจะไม่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อเป็นวงกว้าง พร้อมเสริมว่าความเสี่ยงต่างๆ ยังสามารถควบคุมได้อยู่ ตราบเท่าที่ยังมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเต็มที่

หลี่ฉวิน ผู้อำนวยการศูนย์เหตุฉุกเฉินสาธารณสุข ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน (China CDC) กล่าวว่าที่ผ่านมาได้มีการเตรียมการรองรับการกลับไปทำงานและการผลิต เพื่อรับมือกับความเสี่ยงแพร่เชื้อที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางของบุคคลที่เพิ่มขึ้น

“เมื่อพบพาหะที่ไม่แสดงอาการ จะดำเนินการสังเกตการณ์แบบแยกเชื้อและการตรวจสอบทางระบาดวิทยาอย่างละเอียดและเหมาะสมแก่เวลา และจะต้องยกระดับการควบคุมและการคัดกรองให้ละเอียดขึ้นในพื้นที่สำคัญและในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิด เราหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยติดตามพาหะที่ไม่แสดงอาการและลดโอกาสการแพร่เชื้อได้” หลี่กล่าว

“ขณะนี้ทุกฝ่ายต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันและควบคุมพาหะที่ไม่แสดงอาการ ดังนั้นประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องวิตกจนเกินไป” หลี่กล่าว

การตรวจวัดอุณหภูมิของนักเรียนก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการเฝ้าระวัง

3. มีการคัดกรองและจัดการพาหะที่ไม่แสดงอาการอย่างไรบ้าง?

แหล่งของพาหะที่ไม่แสดงอาการที่พบในอู่ฮั่นแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ผู้ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน ผู้ป่วยนอกทั่วไป พนักงานที่ผ่านการคัดกรองก่อนเข้าทำงาน และผู้ที่ผ่านการคัดกรองก่อนเดินทางออกจากอู่ฮั่น

หลี่ระบุว่าปกติจะมีการรายงานผู้ป่วยไม่แสดงอาการรายใหม่ต่อศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคในพื้นที่ภายใน 2 ชั่วโมง และจะเสร็จสิ้นการสอบสวนภายใน 24 ชั่วโมง

“ผู้เป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการจะต้องเข้าสู่มาตรการกักตัวและการสังเกตการณ์ทางการแพทย์เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน” หลี่กล่าว พร้อมเสริมว่าพาหะที่ไม่แสดงอาการนั้นควรอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ทางการแพทย์แบบรวมศูนย์เป็นเวลา 14 วัน หากปรากฏอาการใดๆ พวกเขาจะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่กำหนดทันที และจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน

ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องมีผลทดสอบกรดนิวคลีอิกออกมาเป็นลบ 2 ครั้ง หลังผ่านการสังเกตการณ์ทางการแพทย์ และจะต้องกลับมาติดตามผลเมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับกลุ่มดังกล่าวจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการสังเกตการณ์ทางการแพทย์แบบรวมศูนย์เป็นเวลา 14 วัน เช่นกัน

4. เราจะทำอะไรได้บ้าง เมื่อเจอพาหะที่ไม่แสดงอาการ?

ที่ผ่านมา ผู้เป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการส่วนใหญ่ พบได้จากผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน “ดังนั้นผู้ที่ไม่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 จึงไม่น่าจะติดเชื้อและไม่ต้องวิตกกังวล” ถงกล่าว

“สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสม” หลี่สำทับ

บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างชี้แจงว่าไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่ผู้ที่ไร้อาการต้องสงสัยหรือไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคโควิด-19 จะต้องเข้ารับการทดสอบกรดนิวคลีอิก พร้อมทั้งเสริมว่าควรรักษานิสัยการรักษาสุขอนามัยที่ดีไว้ แม้จะผ่านพ้นการแพร่ระบาดไปแล้ว

“เราควรระวังตัวและหลีกเลี่ยงบางพฤติกรรมที่เกิดจากความไม่รู้ตัว เช่น การขยี้ตาหลังจากสัมผัสหน้ากาก” หลี่กล่าว