ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วันที่ 18 เม.ย. ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ตนอยากให้ข้อมูลกับทางบคุลากรสาธารณสุข เกี่ยวกับการตอบสนองทางระดับภูมิคุ้มกันไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริง คือ ยังขึ้นอยู่กับวิธีการฉีดเช่นการให้วัคซีนทางชั้นผิวหนัง หรือการฉีดโดยตรงเข้ากล้าม และยังขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละคนออกมาเป็น ระดับสูง กลาง ต่ำหรือแทบจะไม่ตอบสนองเลย ทั้งๆที่เป็นคนปกติสุขภาพดี อย่างที่เห็นในวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ดังการศึกษาของเราตั้งแต่ปี 2010 ในวารสาร vaccine

สำหรับกระบวนการตอบสนองเมื่อได้รับวัคซีนเข้าทางชั้นผิวหนัง กระบวนการลำดับขั้นจะเบี่ยงเปลี่ยนไปในทาง Th2 และที่น่าแปลกโดยมี IL5 eotaxin ชัดเจน ในขณะที่ IL 1beta จะเห็นใน กลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามและอิงระบบ Th1 นอกจากนั้นยังมี cytokines และ chemokines ตัวอื่นๆอยู่ด้วย

ทั้งนี้กระบวนการในการฉีดวัคซีนถ้าให้ไปในตำแหน่งเดียวกันกับที่ไวรัสอยู่ จะทำให้กระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันและการป้องกันโรคกลับมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการศึกษาในสัตว์ทดลองและอาจจะอธิบายได้ว่าเป็นการทำให้กลยุทธ์ล่องหนพรางตัวของไวรัสอ่อนแอลง ดังได้รายงานในปี 2016 Arch Virol

ลักษณะของการติดเชื้อเช่นโควิด-19 และเสมือนเป็นการได้รับวัคซีนตามธรรมชาติ

ทั้งนี้โดยหวังว่าเมื่อประชากรอย่างน้อยครึ่งหนึ่งหรือ 60% ขึ้นไปเมื่อมีการติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ และเป็นปราการป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อออกไปอีกอย่างมาก

แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือการตอบสนองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน

ทั้งนี้อาจจะขึ้นกับการที่ไวรัส “ชอบ” ที่จะเข้าไปอยู่ที่คอจมูกและระบบทางเดินหายใจส่วนต้น หรือ”รัก”ที่จะเข้าไปอยู่ในปอดลึกๆ และทำให้ไม่มีอาการหรือแทบจะไม่มีอาการเลย ทั้งๆที่มีปอดอักเสบและไม่มีอาการไอด้วยซ้ำ

ตำแหน่งที่ไวรัสอยู่จะมีผลในการกระตุ้นขั้นตอนของการสร้างภูมิคุ้มกันต่างกัน โดยกระบวนการหลบหลีก การมองเห็นของระบบภูมิคุ้มกัน ในที่ต่างๆเหล่านี้อาจไม่เหมือนกัน นอกจากนั้นในส่วนของไวรัสเริ่มมีข้อมูลว่ามีการเข้าไปกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของ Tเซลล์ แบบไวรัสเอชไอวีแต่ไม่ได้ทำให้จำนวนเซลล์ต่ำลง และชนิดของไวรัสเอง ไม่ได้ขึ้นกับ lineage A B หรือ C มีผลต่อระบบการต่อสู้ของร่างกาย ผู้ติดเชื้อ ให้เก่งหรือไม่เก่งในส่วนของ antiviral protein

ขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ ส่งผลทั้งการเพิ่มจำนวนและปริมาณของไวรัส ตั้งแต่ระดับ transcription replication รวมทั้งการประกอบร่างตั้งแต่ subgenomic RNA และยังมีผลต่อเนื่องไปถึงการที่ไวรัสไปท้ารบ กับร่างกายโดยร่างกายสร้างการอักเสบมากเกินพอดี เกิด cytokine storm และยังส่งผลไปลดทอนระบบการละลายการอักเสบ ผ่านทาง AT1-7

นอกจากนั้น การที่จะหายจากโรคอย่างสมบูรณ์หมดจด มีกระบวนการขั้นต้นที่เรายังไม่ทราบชัดเจนแต่อาจอนุมานเอาว่าเกิดจากการที่มีภูมิคุ้มกันแอนติบอดีชนิดที่ทำลายไวรัสได้ (neutralizing antibody) แต่ยังคงต้องตระหนักว่าเซลล์ในร่างกายแต่ละชนิดที่มีการติดเชื้ออาจจะมีกระบวนการทำลายไวรัสต่างกันในขั้นต้นและในระยะกลาง ซึ่งต้องอาศัยระบบเซลล์และระบบน้ำเหลืองเข้ามาควบคู่กันและในที่สุดถ้าไม่สามารถทำลายไวรัสได้อย่างหมดจดเนื่องจากต้องทำลายส่วนของร่างกายที่ติดเชื้อไปด้วย ก็จำเป็นที่จะต้องปล่อยให้มีการติดเชื้อต่อโดยมีการตรวจตราควบคุมไม่ให้ไวรัสกระจายออกมาอีก ซึ่งเป็น long term control โดยใช้ระบบคุ้มกันชนิดเซลล์อย่างเดียวหรือร่วมกับระบบน้ำเหลือง

ทั้งหมดนี้ทำให้ความเข้าใจในโควิด-19 ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่สามารถทำนาย ได้อย่างชัดเจนว่าใครจะมีอาการหนักเบา แม้ว่าอายุจะน้อยจะมากไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม และยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครเมื่อหายแล้วจะหยุดปล่อยเชื้อได้เร็วช้าหรือจะกลายเป็นคนที่แพร่เชื้อไปในระยะเวลายาวนาน และเชื้อที่ปล่อยออกมานั้นเป็นตัวสมบูรณ์กระฉับกระเฉงพร้อมที่จะติดต่อไปหาคนอื่นหรือเป็นตัวที่กระปลกกระเปลี้ยมีความสามารถในการแพร่ได้จำกัดหรือเป็นเพียงแต่เศษ RNA ของไวรัสที่ออกมากระปริบกระปรอย จากผลของ intermittent shedding จากเซลล์ที่ไวรัสไปหลบซ่อนอยู่จากการถูกมองเห็นของระบบภูมิคุ้มกัน

และท้ายสุดภูมิคุ้มกันหลังจากการติดเชื้อตามธรรมชาติจะอยู่ได้คงทนนานเท่าใดยังไม่มีใครทราบและถ้าจะอยู่ได้นานแต่ถ้าไวรัสเปลี่ยนหน้าตาไปภูมิคุ้มกันดังกล่าว เพียงแต่รู้จักไวรัสเฉยๆแต่ไม่ไปทำลาย หรือจะซ้ำร้ายไปช่วยไวรัสให้มีการเพิ่มจำนวนและเกิดอาการมากขึ้นหรือไม่ยังไม่มีใครทราบ