กรมการแพทย์แผนไทยฯ เผยคืบหน้าวิจัยยาฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ทดลองในคน 2 รพ. “รพ.สุมทรปราการ-รพ.บางละมุง” เบื้องต้นศึกษาความปลอดภัย
จากกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้มีการทดลองยาฟ้าทะลายโจร เพื่อนำมาใช้ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งผลทดลองในหลอดทดลองเบื้องต้น พบว่า เมื่อไวรัสเข้าเซลล์แล้ว ฟ้าทะลายโจรมีผลฆ่าไวรัสโควิด-19 ได้โดยตรง และทำให้ไวรัสไม่เพิ่มจำนวนในเซลล์ และจะมีการเดินหน้าทดลองในมนุษย์ต่อไปนั้น
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ดำเนินการศึกษานำร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรขนาดสูงต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยผ่านการอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์แล้ว ซึ่งเดิมมีการขอทำการศึกษาทดลองในผู้ป่วยที่สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค แต่เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศและอาการไม่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศฯมีจำนวนน้อยหรือไม่มีผู้ป่วยเลย
กรมฯจึงได้มีการขออนุญาตคณะกรรมการฯเปลี่ยนสถานพยาบาลที่ทำการศึกษาวิจัยในคนเป็นที่รพ.สมุทรปราการ และรพ.บางละมุง เนื่องจากเป็นสถานพยาบาลหลักที่รับผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาหากตรวจพบว่าป่วยระหว่างการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้(State Quarantine) หลังเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ โดยมีความพร้อมตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา และดำเนินการได้ทันทีหากมีผู้ติดเชื้อตามเกณฑ์เข้ารับการรักษา
นพ.มรุต กล่าวอีกว่า ผู้ติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์การทดลองฟ้าทะลายโจร คือ เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 มีอาการอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง มีอาการระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง คือ ไข้ ไอ ตัวร้อน ซึ่งปกติจะไม่ได้มีการให้ยาชนิดไหนอยู่แล้ว ระยะแรกจะทดลองในกลุ่มตัวอย่าง 6 ราย ได้รับยาแคปซูลสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 60 มิลลิกรัม หรือ 3 เท่าของขนาดปกติ วันละ 3 ครั้ง เพื่อดูว่าอาการดีขึ้นชัดเจนหรือไม่ ถ้าดีขึ้นไม่ชัดเจน เช่น ไข้ลดลงไม่ต่างกัน ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัวอ่อนเพลียไม่ต่างกัน ก็จะดำเนินการทดลองต่ออีก 6 ราย ได้รับยาแคปซูลสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 100 มิลลิกรัม หรือ 5เท่าของขนาดปกติ วันละ 3 ครั้ง รวมถึง ดูว่ายาฟ้าทะลายโจรช่วยลดเอนไซม์ตัวที่ทำให้คนไข้อาการแย่ลงจากการที่ทำลายปอด ทำลายผิวหนังหรือไม่ด้วย เพราะในทางทฤษฎีฟ้าทะลายโจรจะช่วยลดตรงนี้และจัดการกับเชื้อโรคโควิดด้วย การทดลองในคนจึงมีความจำเป็นต้องดูผลทั้ง 2 ด้าน เพราะเป็นความหวังของประเทศไทยที่จะให้ฟ้าทะลายโจรเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ซึ่งในงานวิจัยพบว่าฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาโรคจากไวรัสโคโรน่าทั่วไปได้อยู่แล้ว
“การทดลองในคนระยะแรก เบื้องต้นจะเน้นดูเรื่องความปลอดภัย ซึ่งในหลอดทดลองรู้อยู่แล้วว่าปลอดภัย เพราะว่ามีส่วนที่ทำให้ตับ ไตเกิดปัญหาน้อยมาก อาจจะมีปัญหาในบางคนที่ทำให้เกล็ดเลือดต่ำ หรือความดันต่ำ และต้องการรู้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่มันเกิดขึ้น ทั้งในส่วนของอาการที่แสดงและผลของเลือดว่าดีขึ้นอย่างไร และผลเอนไซม์ไซโตไคน์ที่มีผลทำลายต่อปอด หัวใจ ตับลดลงใช่หรือไม่ ซึ่งฟ้าทะลายโจรมีส่วนที่ช่วยป้องกันไวรัสโคโรน่า2019 ที่ก่อโรคโควิด-19 ไม่ให้เข้าเซลล์ เมื่อเข้าไปแล้วก็ลดการแบ่งตัว ยับยั้งเชื้อหรือฆ่าเชื้อ หากได้ผลดีและมีราคาถูก ที่สำคัญเป็นสมุนไพรที่ผลิตในประเทศไทย 100%”นพ.มรุตกล่าว
ต่อข้อถามการที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อในประเทศน้อยลงไม่ได้ทำให้โครงการวิจัยฟ้าทะลายโจรสะดุดหรือไม่ นพ.มรุต กล่าวว่า โครงการวิจัยจะช้ากว่าเดิมจากที่จะดำเนินการในช่วงเมษายน-กรกฎาคม 2563 ก็จะต้องขยับออกไป เพราะไม่มีผู้ป่วยที่จะเข้าร่วมโครงการวิจัย ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อ อีกทั้ง การเปลี่ยนสถานพยาบาลที่ทำการวิจัยไปที่รพ.สมุทรปราการและบางละมุง ก็จะทำให้เวลาการวิจัยยืดออกไป เพื่อให้กระบวนการวิจัยต่างๆมีความชัดเจนถูกต้อง มีคุณภาพและมาตรฐาน เพราะหากผลการวิจัยสำเร็จและมีการรายงานผลแล้วทั่วโลกจะต้องให้การยอมรับ
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรมฯได้รับการจัดสรรงบประมาณเงินกู้โควิดที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับ 4.5 หมื่นล้านบาทหรือไม่ อย่างไร นพ.มรุต กล่าวว่า กรมได้รับการจัดสรร ราว 200 ล้านบาท นำมาใช้ในงานวิจัยสมุนไพรที่มีศักยภาพในการจัดการกับโรคโควิด-19ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึง การจัดหาฟ้าทะลายโจรเพื่อให้ประชาชนมีติดบ้านติดตัวไว้ เมื่อเริ่มป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัดจะได้ใช้เพื่อบรรเทาอาการหวัด หรือถ้าเป็นโควิดก็หวังว่าจะหายป่วยไปเลย โดยไม่ต้องไปตรวจยืนยันหาเชื้อโรคโควิด และทั้งหมด 100 %เป็นการผลิตในประเทศไทย ช่วยให้เกษตรกร ผู้ผลิตมีรายได้ และผู้ป่วยเองก็ปลอดภัย สบายใจจึงช่วยคนไทยแน่นอน และถ้าผลวิจัยได้ผลออกมาชัดเจนว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยโควิดได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยมีตลาดที่กว้างขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- 54 views