ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมการแพทย์ เผย 7 รพ. นำร่องให้เคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่-ลำไส้ตรงถึงบ้าน ประเมินผล 3 เดือนก่อนขยายครบ 13 เขตสุขภาพ หวังแก้ปัญหารอเตียงนาน เบื้องต้นครอบคลุมบัตรทองก่อนเจรจาสิทธิอื่นๆ

เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมช.สธ.) กล่าวในการแถลงข่าวการแพทย์นิวนอร์มอล เรื่องการให้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งที่บ้าน ว่า ที่ผ่านมาแม้เราจะให้น้ำหนักการต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่ไม่หยุดให้บริการโรคอื่นด้วย เช่น การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิต 123.3 ต่อประชากร 1 แสนคน โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ 142,769 ราย เสียชีวิต 73,000 ต่อปี ล่าสุดได้ร่วมกับรพ.รามาธิบดี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ มะเร็งวิทยาสมาคม ในการจัดทำแนวทางการรักษาเพื่อลดความแออัดในรพ.และเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งโดยการให้เคมีบำบัดที่บ้าน เริ่มที่โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งลำไส้ตรง ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โรคมะเร็งที่พบมากในประเทศไทย

ทั้งนี้ การให้เคมีบำบัดที่บ้านนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการป้องกันโรค โดยเราพบว่า 5 กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งคือ คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย คนที่ไม่รับประทานผัก ผลไม้สด คนอ้วน คนสูบบุหรี่ และคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นขอให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ และตรวจสุขภาพ คัดกรองโรคอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปควรตรวจทุกๆ 6 เดือน เพราะโรคมะเร็ง หากเจอเร็วสามารถรักษาได้

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในปี 2563 จะนำร่องให้เคมีบำบัดที่บ้าน ในผู้ป่วยรพ. 7 แห่ง คือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ รพ.รามาธิบดี รพ.ราชวิถี รพ.จุฬาภรณ์ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า รพ.มะเร็งลพบุรี รพ.มะเร็งชลบุรี ซึ่งเริ่มแล้วตั้งแต่ 1 ก.ค.2563 โดยดำเนินการตั้งแต่ก.ค.-ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 100 ราย จากนั้นจะมีการประเมินผล และในปี 2564 จะขยายไปทั้ง 13 เขตสุขภาพ แต่ไม่ใช่ครบทุกจังหวัด เบื้องต้นวางเป้ารพ. 30 แห่งเป็นอย่างน้อย และอาจจะขยายไปยังโรคมะเร็งอื่นๆ ด้วย ส่วนค่ารักษานั้นบัตรทองถือว่าครอบคลุม ส่วนสิทธิอื่นๆ จะมีการเจรจาต่อไป ทั้งนี้ การให้เคมีบำบัดที่บ้านจะมีการเตรียมเทเลเมดิซีน เพื่อให้ผู้ป่วยได้คุยกับแพทย์ที่รพ.ด้วย

“ผู้ป่วยโรคมะเร็งจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่าผู้ป่วยโรคอื่นๆ ดังนั้นการให้เคมีบำบัดที่บ้านจึงช่วยลดความแออัดในรพ.ซึ่งเสี่ยงรับเชื้อโรคอื่นๆ ด้วยและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยเฉพาะในช่วงที่มีโรคโควิด-19 และวันนี้ถึงแม้ประเทศไทยไม่มีรายงานผู้ป่วยในประเทศติดต่อกัน 40 กว่าวันแล้ว แต่ขอฝากประชาชนว่าเวลาไปในที่ชุมชนขอให้สวมหน้ากาก เพราะเป็นอุปกรณ์ป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ ที่องค์การอนามัยโลกก็ยอมรับ และจากรายงานของไทยช่วงที่คนไทยสวมหน้ากากกันนั้น ทำให้โรคปอดบวม และโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจลดลงไปมาก”นพ.สมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นพ.พิชัย จันทร์ศรีวงศ์ แพทย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ รพ.รามาฯ กล่าวว่า การรับเคมีบำบัดปกติต้องมารพ. เพื่อพบแพทย์และรอเตียง ปัจจุบันคนไข้เยอะ เตียงไม่พอ ทำให้ต้องรอ 5-7 วัน ทำให้คนไข้คลาดเคลื่อนของการรับยา และวิตกกังวล จึงมีการเปลี่ยนมาให้เคมีบำบัดที่บ้าน ทั้งนี้ยาเคมีที่ให้มี 3 ตัว ซึ่งรูปแบบเดิมมีการพบแพทย์ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วให้ยาเคมี 2 ชนิด ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง อีก 1 ชนิดใช้เวลา 50 ชั่วโมง ดังนั้นคนไข้ต้องนอนรพ.ประมาณ 2-3 วัน และรับยาทุก 2 สัปดาห์ ก็เปลี่ยนรูปแบบให้ยาที่รพ. 4 ชั่วโมง แล้วนำถุงยากลับบ้าน เมื่อยาครบ 2-3 วัน ผู้ป่วยกลับมาที่รพ. เพื่อถอดถุงยาออก แต่หากไม่สะดวกมา จะมาพยาบาลไปเยี่ยมบ้านและถอดให้

 

ทั้งนี้ กระบวนการทำงาน คือ 1. เตรียมเคมีบำบัดมาตรฐาน เพื่อให้คนไข้ มีขนาด 1 วัน 2 วัน เปลี่ยนการให้ยาจากข้อมือมาที่หลอดเลือดดำส่วนกลางบริเวณหน้าอก จากนั้นก็เสียบถุงยากลับบ้านได้ ทั้งนี้หากคนไข้มีภารกิจที่ไม่ต้องออกแรงมากก็สามารถให้ยานี้พร้อมกับทำงานนั้นไปด้วยได้ เช่น การขับรถแท็กซี่ เป็นต้น โดยมีการอบรมการดูแลตัวเองให้กับผู้ป่วยและญาติ พร้อมแจกคู่มือการดูแลให้ด้วย ขณะเดียวกันก็มีพยาบาลโทรติดตามทุกวัน จากที่ทำมา 4 ปี พบว่าการให้เคมีบำบัดที่บ้านช่วยประหยัดเตียงคนไข้ได้ 3.5 พันเตียงต่อปี ได้รับยาตรงเวลา100 % ถ้าให้ที่รพ.จะได้รับยาตรงเวลาแค่ 70% เพราะต้องรอเตียง ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตชัดเจน ผลข้างเคียงไม่ต่างกับการรับยาที่รพ. เมื่อเทียบค่าใช้จ่ายการรับยาเคมีที่บ้านประหยัดค่าชี้จ่ายได้ 50,000 บาทต่อคนต่อการรักษา เรียกว่าประหยัดเงิน ประหยัดเวลา ดังนั้นเสนอไปที่ สปสช.แล้วเพื่อให้บรรจุในสิทธิประโยชน์

เมื่อถามถึงสาเหตุที่ให้เคมีบำบัดที่บ้านเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งไส้ตรงเท่านั้น นพ.พิชัย กล่าวว่า ที่เลือกมะเร็งลำไส้ใหญ่ก่อนเพราะ 1.มีจำนวนผู้ป่วยเยอะ 2.ตัวยาที่ใช้ที่บ้านเน้นความปลอดภัยของผู้ป่วย ซึ่งยาที่ให้ค่อนข้างปลอดภัยและมีความเสถียรหรือมีความคงเหมือนกับการใช้ในรพ.ที่จริงสูตรยานี้สามารถใช้กับผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน มะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย แต่มีจำนวนคนไข้น้อย และส่วนใหญ่มีปัญหาโภชนาการไม่ได้ ทำให้แข็งแรงน้อยกว่าผู้ป่วยมะเร็งชนิดอื่นๆ จึงอาจจะไม่ปลอดภัยหากให้ที่บ้าน ในขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรงนั้นจะค่อนข้างแข็งแรงกว่า อย่างไรก็ตาม เรามีแผนพัฒนาการให้เคมีบำบัดที่บ้านไปยังคนไข้มะเร็งตับอ่อน มะเร็งกระเพาอาหาร มะเร็งศีรษะและลำคอ ซึ่งมะเร็งศีรษะและลำคอจะใช้เวลานาน 5 วัน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้อยู่ที่ความสมัครใจของผู้ป่วยด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง