ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมเทศบาลเมืองชัยภูมิ เปิดศูนย์ไตเทียมให้บริการผู้ป่วยในพื้นที่และอำเภอใกล้เคียง เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ พร้อมชม อสม.ทำงานหนักมาตลอด นายกฯ และตนเองต้องขอขอบคุณ

วันที่ 22 ส.ค. ที่เทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 9 เปิดศูนย์ไตเทียมเทศบาลเมืองชัยภูมิ โดยมีนายกอบชัย บุญอรณะ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ นายบรรยงค์ เกียรติก้องชูชัย นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ ให้การต้อนรับ

นายอนุทินกล่าวว่า การเปิดศูนย์ไตเทียมของเทศบาลนครชัยภูมิ เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษา ลดการเดินทางไปยังโรงพยาบาล ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลรัฐได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังทั่วประเทศประมาณ 8 ล้านคน เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย 2 แสนคน และมีผู้ป่วยเพิ่มปีละกว่า 7,800 ราย สาเหตุมาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดระบบบริการโรคไตวาย ทั้งการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียม การล้างไตผ่านหน้าท้อง เพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลเป็นศูนย์รับบริจาคอวัยวะและศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ และมีคลินิกชะลอไตเสื่อม

ในโรงพยาบาลชุมชนจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ทุกแห่งทั่วประเทศ ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังแบบองค์รวม โดยทีมสหวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพ และโภชนากร ค้นหาความเสี่ยงโรคไตวายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยยืดระยะเวลาไตเสื่อมไปได้อีก 7 ปี รวมทั้งรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพ ลดโรค NCDs ลดภาวะแทรกซ้อนและการเกิดโรคไตวาย

“การรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งมีผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายไตจำนวนมาก แต่มีผู้บริจาคไม่มาก ผู้ป่วยต้องรอนานจนบางรายเสียชีวิตไปก่อน จึงขอเชิญชวนประชาชนช่วยกันแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้ที่สภากาชาดไทยและโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการสร้างกุศล คืนชีวิตใหม่ให้กับผู้ป่วย” นายอนุทินกล่าว

สำหรับจังหวัดชัยภูมิ มีโรงพยาบาลชัยภูมิให้การดูแลผู้ป่วยโรคไตครบวงจร และมีโรงพยาบาลชุมชนอีก 5 แห่ง เป็นเครือข่ายให้บริการ มีผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ต้องล้างไตทางหน้าท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมประมาณ 1,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ได้สนับสนุนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายุรศาสตร์โรคไตไปให้บริการที่ศูนย์ไตเทียมของเทศบาลเมืองชัยภูมิ ซึ่งเป็นหน่วยรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลชัยภูมิ มีเตียงบริการ 24 เตียง วันละ 3 รอบ เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึงวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 05.00 ถึง 18.00 น. ให้บริการดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยโรคไต กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง กลุ่มป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง มีพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลที่ผ่านการอบรมการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และมีทีมอาสาสมัครสาธารณสุข ทีมจิตอาสาในชุมชนที่ผ่านการอบรมเรื่องการดูแลผู้ป่วยไตวายคอยดูแลช่วยเหลือ

นอกจากนี้  นายอนุทิน ยังกล่าวถึง อสม. ว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีและตน ขอขอบคุณ อสม.ทั่วประเทศกว่า  1,040,000 คน ด้วยใจจริง ที่ทำงานอย่างหนักตลอดช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งการลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน เฝ้าระวังประชาชนกลุ่มเสี่ยง คัดกรอง และให้ความรู้แก่คนในชุมชน ช่วยให้คนไทยปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ประเทศพ้นวิกฤติมาจนเป็นที่ชื่นชม และได้รับการยอมรับจากนานาประเทศทั่วโลก ซึ่งการทำงาน อสม. สมกับเป็นหมอคนแรกของครอบครัว ดูแลสุขภาพคนในชุมชนเชิงรุกเคาะประตูบ้าน ที่ไม่มีประเทศใดในโลกทำได้ ผลจากการทำงานอย่างเสียสละ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติค่าเสี่ยงภัยให้แก่ อสม. รายละ 500 บาท เป็นเวลา 7 เดือน เพราะเข้าใจการทำงานของ อสม. หากสถานการณ์โรคโควิด 19 ยังมีอยู่ ก็จะไม่ทอดทิ้งและดูแลเรื่องค่าเสี่ยงภัยต่อไป 

นายอนุทินกล่าวต่อว่า แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ของโรคโควิด 19 ของประเทศจะดีขึ้นแล้ว แต่ขอให้ อสม. ช่วยกระตุ้นเตือน ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจกับคนในชุมชนว่าอย่าประมาท การ์ดอย่าตก การป้องกันตัวเองยังสำคัญ ออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็น หน้ากากอนามัย/ หน้ากากผ้าอย่าให้ขาด ใส่ตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ  เพื่อให้คนไทยปลอดภัย ปลอดโรค

 “ประเทศไทยยังมีโอกาสกลับมาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้อีก ขอให้อย่าตระหนก เรามีระบบการควบคุมโรค และระบบการดูแลรักษาที่ดี หากป่วยก็รักษาให้หายได้” นายอนุทินกล่าว