ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองนายกฯ-รมว.สธ. เปิดประชุมวิชาการ อสม.บุรีรัมย์ กำชับขอให้ช่วยเฝ้าระวังต่างด้าวลอบเข้าไทย หวังสกัดโควิด-19 ย้ำ 21 ก.ย.นี้ อสม.1.5 ล้านคนรับค่าตอบแทนพิเศษ 3.5 พันบาทบวกค่าป่วยการ 2 เดือนเท่ากับ 2 พันบาท รวม 5.5 พันบาทต่อคน

เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่โรงแรมเทพนคร จังหวัดบุรีรัมย์ ในงานประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พร้อมด้วยนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และคณะผู้บริหารเข้าร่วมกิจกรรม มี อสม.จากทุกหมู่บ้าน เข้าอบรม เพื่อทำความเข้าใจ และซ้อมแผนการรับมือด้านสาธารณสุข และรับมอบรางวัล อสม.ดีเด่นประจำปี พ.ศ.2563

นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ต้องกำชับ อสม.อย่างยิ่งคือ การเฝ้าระวังพื้นที่ หากพบบุคคลน่าสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มผู้ลักลอบเข้าประเทศ ต้องรายงานเจ้าหน้าที่รัฐให้เข้าไปจัดการโดยด่วน เพราะหากปล่อยไว้จะเกิดความเสี่ยงให้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 การเข้ามาตามช่องทางปกติ ถูกต้องตามกฎหมาย ภาครัฐสามารถดูแลจัดการได้ แต่กลุ่มที่แอบเข้ามานั้น คือปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันตรวจตราให้ละเอียด

“ อสม.ทำงานหนักนั้น ภาครัฐเห็นความสามารถและชื่นชมในประสิทธิภาพมาตลอด วันที่ 21 กันยายนนี้ อสม.ที่มีอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 1.5 ล้านคน จะได้ค่าตอบแทนพิเศษ 3.5 พันบาท 7 เดือน  และยังบวกกับค่าป่วยการ 2 เดือน เท่ากับ 2 พันบาท รวมเป็น 5.5 พันบาท ต่อคน จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบหลายพันล้านบาท ที่น่าจะสร้างการจับจ่าย และเป็นผลบวกกับเศรษฐกิจไทย” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามถึงมาตรการการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว อย่างมีข้อจำกัด นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรการที่วางไว้ ซึ่งกำลังหารือกันอยู่ คือ เศรษฐกิจต้องเดินได้ บนความปลอดภัยของคนไทยทุกคน กระทรวงสาธารณสุข มีหลักการว่าตรวจให้เจอ คุมโรคได้ รักษาหาย

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดการประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั้งหมด 4 ภาค โดยเริ่มจากภาคอีสานเป็นภาคแรก เพื่อให้อสม.ได้รับความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น นำไปดูแลประชาชนในพื้นที่ เป็นการลดอัตราการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาล ซึ่ง อสม.จะเป็นหมอคนแรกที่ให้การดูแล หากอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้ส่งต่อไปหาหมอคนที่ 2 ที่รพ.สต. และจะมีระบบส่งต่อไปยังหมอครอบครัวที่โรงพยาบาลใหญ่ซึ่งเป็นหมอคนที่ 3 คนไทยจะมีหมอถึงสามหมอที่จะดูแลสุขภาพ

“อสม.ทุกคนเป็นพลังในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงสาธารณสุข เป็นหมอประจำครอบครัว ให้ความรู้และพัฒนาสุขภาพของประชาชน ดูแลตนเองได้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 การที่จะไม่เจอผู้ป่วยในประเทศไม่ใช่เป้าหมายของเรา แต่เป้าหมายของเราคือหากมีผู้ติดเชื้อที่ไหน อสม.จะไปหาเจอที่นั่น” นายอนุทินกล่าว

ทั้งนี้ ได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้กับ อสม.ดีเด่นระดับชาติ จำนวน 3 รางวัล ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 9 รางวัล และพื้นที่ต้นแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ประจำปี 2563 จำนวน 13 แห่ง ที่ได้เสียสละ อุทิศกำลังกาย กำลังใจ ในการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จนเกิดผลงานอันเป็นที่ประจักษ์