ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

จดหมายเปิดผนึกชวนภาคีขับเคลื่อนสูภัยโควิด-19 ระลอกใหม่ เน้นความเชื่อมั่นและจับมือกันของภาครัฐกับประชาชนเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมการระบาด เดินหน้า “ไทยจะชนะไวรัสนี้และก้าวพ้นวิกฤตได้อีกครั้ง”

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ได้มีจดหมายเปิดผนึกเชิญชวนภาคีด้านสุขภาพ ด้านสังคม ด้านปกครอง และคณะสงฆ์ ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐ สถาบันวิชาการ ธุรกิจเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ขับเคลื่อนแผน “รวมพลังพลเมืองตื่นรู้ ช่วยชาติสู้ภัยโควิด-19 ระลอกใหม่” เพื่อให้เกิดมาตรการทางสังคมของประชาชนไปหนุนช่วยมาตรการควบคุมโรคของหน่วยงานรัฐในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในจดหมายเปิดผนึก เลขาธิการ คสช. ได้กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่จังหวัดสมุทรสาคร และอีกหลายจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานคร มีความเร็ว แรง และอาจยาวนานมากขึ้นจนเป็นวิกฤตใหญ่ของประเทศได้ ผลกระทบทั้งทางด้านสาธารณสุข สังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ กำลังขยายวงกว้างและน่าวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ จากความแตกตื่น แตกแยกความคิดของประชาชนในพื้นที่นำไปสู่การกล่าวโทษ ละเลยความช่วยเหลือที่จำเป็น และขาดการให้กำลังใจแก่กลุ่มเปราะบางที่พักอาศัยในสภาพแวดล้อมแออัดและอยู่ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ไม่ได้ช่วยเสริมมาตรการของรัฐในการคุมเข้มเพื่อควบคุมการระบาดของโรคไม่ให้แพร่กระจายเป็นอันตรายกับประชาชนในพื้นที่และขยายวงกว้างทั่วประเทศ แต่จะยิ่งทำให้การควบคุมป้องกันการระบาดของโรคทำได้ยากยิ่งขึ้น หรืออาจทำไม่ได้เลยถ้าขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ขาดความไว้วางใจและขาดความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหน่วยงานรัฐ ประชาชน แรงงานต่างด้าว และผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่

แรงงานต่างด้าวทั้งที่ทำงานอย่างถูกกฎหมายหรือที่ลักลอบเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่ทุกคนต่างก็ทำงาน สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยตามที่นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้โพสข้อความเผยแพร่เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ว่า “แรงงานพม่าก็เป็นคน...พวกเขามาทำประโยชน์ให้จังหวัดสมุทรสาคร มาช่วยพัฒนาประเทศเรา ก็ต้องดูแลเค้าเช่นเดียวกัน”

ความเสี่ยงติดเชื้อและเผยแพร่โควิด-19 ของแรงงานต่างด้าวกลุ่มเปราะบางนี้ จึงเป็นความเสี่ยงของคนไทยทั่วประเทศด้วย แต่จากประสบการณ์การขับเคลื่อนแผน “รวมพลังพลเมืองตื่นรู้ ช่วยชาติสู้ภัยโควิด-19” ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเราจากหน่วยงานภาคีด้านสุขภาพ ด้านสังคม ด้านปกครอง และคณะสงฆ์ ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐ สถาบันวิชาการ ธุรกิจเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ไปหนุนช่วยหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรและแกนนำประชาชน อาสาสมัครกลุ่มต่างๆ ในตำบลและชุมชนหมู่บ้าน เกิดมาตรการทางสังคมของประชาชนไปหนุนช่วยมาตรการของรัฐ และเกิดความร่วมมือของพลังภาครัฐกับภาคประชาชนทำให้ไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดและลดความเสียหายจากการระบาดของโควิด-19 ได้ จนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ตรงตามที่นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13  เมื่อวันที่17  ธันวาคมที่ผ่านมาว่า “ความเชื่อมั่นและไว้ใจกันระหว่างภาครัฐกับประชาชน ความเชื่อมั่นและความเชื่อใจกันนี้เอง เป็นสิ่งจำเป็นในช่วงวิกฤต” และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ได้ย้ำว่า “สงครามโรค ครั้งนี้ยังไม่ยุติ” และประเทศไทยกำลังเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่

เลขาธิการ คสช. ยังได้กล่าวย้ำในจดหมายเปิดผนึกว่า ภายใต้ภาวะวิกฤตของประเทศ และความเสี่ยงของประชาชนครั้งนี้ มีความจำเป็นที่พวกเราจากองค์กรต่างๆ และจากเครือข่ายในพื้นที่ของทุกจังหวัดจะต้องสานพลังร่วมกันขับเคลื่อน “รวมพลังพลเมืองตื่นรู้ ช่วยชาติสู้ภัยโควิด-19 ระลอกใหม่” อีกครั้ง เพื่อให้เกิดมาตรการทางสังคมของประชาชนไปหนุนช่วยมาตรการควบคุมโรคของหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และผมมีความเชื่อมั่นว่า “ไทยจะชนะไวรัสนี้และก้าวพ้นวิกฤตได้อีกครั้ง” เพราะพลังความร่วมมือของพวกเราภาคีเครือข่ายทุกองค์กรและบทบาทของประชาชนที่ตื่นรู้ในพื้นที่ จะนำไปสู่ “ความเชื่อมั่นและจับมือกันของภาครัฐกับประชาชนในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยไทยให้ผ่านวิกฤตครั้งใหม่นี้ได้”