ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เผยรายละเอียดวิธีมาตรฐานตรวจหาเชื้อก่อโรคโควิด-19 ทั้งตรวจจากสารคัดหลั่ง ตรวจจากน้ำลาย รวมทั้งชุดตรวจเร็ว หรือแรปิดเทสต์(Rapid test) เป็นการตรวจแอนติเจน แต่มีข้อจำกัดตรวจบางกรณี ไม่แนะนำใช้ทั่วไป

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการตรวจหาเชื้อก่อโรคโควิด-19 ว่า วิธีมาตรฐานในการตรวจหาเชื้อก่อโรคโควิด-19 คือ การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส วิธีRT-PCR โดยเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งด้วยการป้ายหรือSwabจากหลังโพรงจมูกและป้ายจากลำคอ และนำตัวอย่างไปตรวจอาจจะใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงจะทราบผล แต่วิธีการเก็บตัวอย่างนี้จะต้องมีการเตรียมการสถานที่ตรวจและคนตรวจจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันสูงสุด ทำให้มีความยุ่งยาก และการตรวจมีข้อจำกัด โดยเฉพาะหากจะต้องตรวจจำนวนมากนับพัน นับหมื่นจะต้องใช้เวลาในการเก็บตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันให้สามารถตรวจตัวอย่างจากน้ำลายได้ ซึ่งผู้ป่วยสามารถเก็บตัวอย่างใส่กระป๋องที่เจ้าหน้าที่มอบให้ได้ด้วยตัวเอง และส่งตรวจด้วยวิธีเดิมคือRT-PCRตรวจหาสารพันธุกรรมไวรัสเช่นกันแต่วิธีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจจะแตกต่างกัน

“การตรวจจากตัวอย่างน้ำลาย ถ้ากรณีจะต้องตรวจจำนวนมาก และอัตราการพบผู้ติดเชื้อไม่มาก เช่น 100 คน พบติดเชื้อ 2-3 คน ให้สามารถตรวจเป็นกลุ่มได้ โดยเอาน้ำลายของ 5 คนมารวมกันแล้วตรวจ ถ้าตรวจไม่พบเชื้อ แสดงว่า 5 คนนั้นไม่มีใครติด แต่ถ้าผลเป็นบวกมีการพบเชื้อ ก็จะตรวจรายบุคคลต่อไป”นพ.ศุภกิจกล่าว

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า สำหรับการใช้ชุดตรวจเร็ว หรือแรปิดเทสต์(Rapid test) เป็นการตรวจแอนติเจน ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เพราะฉะนั้นจะใช้ตรวจบางกรณีเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ตรวจเป็นการทั่วไป เพราะมีผลบวกลวงหรือลบลวงมากอยู่พอสมควร ส่วนการตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี โดยเป็นการตรวจแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นภายหลังการติดเชื้อ มีทั้งการตรวจในห้องปฏิบัติการ และชุดตรวจเร็ว(Rapid test) ที่มีการขายมากในปัจจุบันด้วยการเจาะเลือด นำไปหยดน้ำยา และแสดงผล ถ้าไม่ขึ้นอะไร ไม่ใช่แปลว่าไม่ติดเชื้อ แต่อาจจะติดเชื้อเมื่อวานแต่ภูมิต้านทานยังไม่ขึ้นก็ได้ ดังนั้น การตรวจภูมิฯจะตรวจเพื่อใช้ประกอบการอธิบายภายหลังจากตรวจวิธีมาตรฐานแล้วเป็นบวก แต่ไม่ใช้เพื่อตรวจหาผู้ติดเชื้อ

นพ.ศุภกิจ กล่าวด้วยว่า ชุดตรวจเร็วที่เป็นการตรวจภูมิต้านทานที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)แล้วนั้น จะต้องจำหน่ายเฉพาะสถานพยาบาล โรงพยาบาลเฉพาะทาง คลินิกเวชกรรม คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์หรือสหคลินิกที่จัดให้มีการประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือเทคนิคการแพทย์ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งการตรวจและการแปลผลต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ไม่แนะนำให้ประชาชนทั่วไปซื้อไปตรวจเอง เพราะจะมีการแปลผลที่ผิดพลาดและเป็ยนอันตรายอย่างใหญ่หลวง โดยกรณีที่ไม่พบว่าติดเชื้ออาจเข้าใจไปว่าตัวเองไม่ติดเชื้อทั้งที่ไม่ใช่ จนทำให้ใช้ชีวิตแบบประมาททำให้เกิดการแพร่ระบาดได้

“กรณีมีการนำเสนอผ่านสื่อว่ามีชุดตรวจแอนติบอดีอย่างเร็วของสถาบันหนึ่งให้ผลเทียบเท่าการตรวจหาสารพันธุกรรมวิธีมาตรฐานนั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและคลาดเคลื่อน ซึ่งการตรวจสารพันธุกรรมมีระยะตรวจไม่เจอเพียงไม่กี่วัน แต่ตรวจภูมิต้านทานนั้นบางราย 2-3 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันถึงจะขึ้น ดังนั้นหากตรวจแล้วเป็นลบ อาจจะข้าใจว่าไม่ติดเชื้อแล้วจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ซึ่งกรมฯเองก็มีการพัฒนาชุดตรวจแอนติบอดีอย่างเร็วและผ่านการรับรองจากอย.แล้วเช่นกัน แต่ต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ไม่แนะนำให้หาซื้อไปตรวจเองเด็ดขาด และหากประชาชนพบการขายทางออนไลน์ไม่ว่าของบริษัทไหน สามารถแจ้งอย.หรือสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้ เพราะตามกฎหมายไม่อนุญาตให้มีการขายออนไลน์”นพ.ศุภกิจกล่าว