ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก รพ.จุฬาฯ เผยรายละเอียดผู้ป่วยไทยรายแรกเดินทางกลับจากแทนซาเนีย พบติดโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ขณะที่ทั่วโลกเฝ้าระวัง 3 สายพันธุ์ที่อาจมีปัญหา เพราะเป็นไวรัสกลายพันธุ์ ส่วนไทยยังไม่พบ

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 15 ก.พ. 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ผู้ป่วยคนไทยรายแรกที่เดินทางจากประเทศแทนซาเนียและพบว่าติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้นั้น ขณะนี้อาการดีขึ้นเรื่อยๆ การให้ออกซิเจนลดน้อยลง ซึ่งปกติไวรัสมีการกลายพันธุ์อยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่การกลายพันธุ์ในมนุษย์บางคนหรือในสัตว์ อาจจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่เร็วกว่าการกลายพันธุ์ปกติ และการระบาดในสถานที่ต่างๆทั่วโลกอาจจะทำให้มีการคัดเลือกสายพันธุ์เฉพาะถิ่นขึ้นเป็นนธรรมชาติของไวรัส

ปัจจุบันมีการรายงานสายพันธุ์ที่เจอและต้องระวังทั่วโลก โดยมีคำแนะนำว่าจะต้องเฝ้าระวัง 3 สายพันธุ์ที่อาจจะมีปัญหา คือ ไม่ใช่ไวรัสที่ปกติ แต่เป็นไวรัสที่กลายพันธุ์ ประกอบด้วย

1. สายพันธุ์ B.1.1.7(GR,G) ประเทศที่พบครั้งแรกในอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายน 2563 ส่วนใหญ่อยู่ในอังกฤษ มีการกระจายไปในประเทศอเมริกา และประเทศอื่นๆในยุโรปแล้ว โดยตำแหน่งที่กลายพันธุ์เป็นตำแหน่งพิเศษ อยู่บนผิวไวรัส ทำให้ไวรัสมีคุณสมบัติจับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น อีกทั้ง ในห้องทดลอง พบว่าไวรัสมีประสิทธิภาพในการแบ่งตัวดีขึ้น เพราะฉะนั้น ไวรัสในโพรงจมูกก็จะมาก ติดเชื้อง่าย นอกจานี้ ปัจจุบันมีหลักฐานจากรพ.อังกฤษหลายแห่งเห็นว่าสายพันธุ์นี้สัมพันธ์กับอัตราการป่วยและเสียชีวิตมากกว่าเดิมเล็กน้อย

2.สายพันธุ์B.1.351(GH,G) ประเทศที่พบครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ทำให้ไวรัสจับตัวเซลล์ได้ดีขึ้น ติดเชื้อง่ายขึ้น อาจจะสามารถหนีภูมุคุ้มกันได้ดีขึ้น อาจจะมีผลต่อประสิทธิภาพวัคซีนลดลง เพราะเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยใช้สายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งมีหลายประเทศมีการทดสอบวัคซีน พบว่าประสิทธิภาพวัคซีนลดลงเมื่อมีผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ ซึ่งปัจจุบันพบสายพันธุ์นี้ในหลายประเทศของทวีปแอฟริกาใต้

3.สายพันธุ์P.1(GR) ประเทศที่พบครั้งแรกคือประเทศบราซิล เมื่อธันวาคม 2563 โดยพบว่าพลาสมาหรือระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จับกับไวรัสเหล่านี้ได้น้อยลงจริงๆ เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเหล่านี้

“ความน่ากลัวของสายพันธุ์แอฟริกาใต้นี้ คือ มีผลต่อการตอบสนองของวัคซีนได้ลดลง แต่ไม่ใช่ประสิทธิภาพของวัคซีนจะป้องกันไม่ได้เลย ยังสามารถรป้องกันความรุนแรงของโรคได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีการพัฒนาวัคซีนปรับปรุงวัคซีนทุกๆ1 -2 ปี ลักษณะเดียวกับการทำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ส่วนเรื่องความรุนแรงของสายพันธุ์นี้ยังไม่มีข้อมูลว่าจะรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น ก็ต้องติดตาม แง่ของการรักษาไม่แตกต่าง ยังไม่มีข้อมูลที่บอกว่าสายพันธุ์ใดต้องใช้การรักษามากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ทั้งนี้ ในการถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ใช้เวลา 3 วัน แต่กำลังเตรียมเปลี่ยนวิธีการตรวจให้เร็วขึ้นใช้เวลา 1 วัน โดยตรวจเฉพาะจุดที่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพบ่อยไม่ตรวจทั้งสายพันธุกรรม ”ผศ.นพ.โอภาสกล่าว

ผศ.นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับในประเทศไทย มีการตรวจจับสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์จากผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ ได้หมดที่สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ซึ่งศูนย์โรคอุบัติใหม่ จุฬาฯมีการตรวจหาสายพันธุ์ต่างๆจากประเทศที่สนใจต้องจับตา คือ จากแอฟริกาใต้ อังกฤษ และบราซิล เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้คนไทยมีโอกาสติดเชื้อที่กลายพันธุ์ ซี่งจะมีผลต่อการใช้วัคซีนในอนาคต ทั้งนี้ สธ.มีการหารือเตรียมเพิ่มวันกักตัวของผู้ที่เดินทางตั้งต้นมาจากประเทศในทวีปแอฟฟริกาใต้เป็น 21 วันเพราะถือเป็นจุดเสี่ยง แต่ไม่สามารถเพิ่มการกักตัวทุกคนได้แม้ว่ามีการกระจายเชื้อสายพันธุ์นี้ในประเทศอื่นๆแล้ว แต่ไทยจะนับวันเริ่มต้นเดินทางจากแอฟริกาใต้ รวมทั้ง จะต้องมีการใช้มาตรการตรวจหาเชื้อที่ควบคู่กับการกักตัว 21 วันด้วย

“ยืนยันว่าสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยยังไม่มีสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ ยังเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเมียนมา แต่การยับยั้งการแพร่เชื้อจากคนไปคนได้จะทำให้ไม่เกิดสายพันธุ์ใหม่ ที่อาจจะเป็นสายพันธุ์ของไทยเอง ที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งขณะนี้ศูนย์โรคอุบัติใหม่ฯมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่น่ากังวล เพราะรอบระบาดของประเทศไทยยังไม่ยาวเพียงพอที่จะทำให้เชื้อกลายพันธุ์แต่ยังมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง”ผศ.นพ.โอภาสกล่าว