ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

"หมอสุภัทร" ส่งจม.ถึง "อนุทิน" ชี้ในปีงบ 2565 สำนักงบประมาณนำเงินเดือนจากการบรรจุข้าราชการใหม่ในช่วงโควิดมาคำนวณตัดเงินเดือนจากงบประมาณบัตรทอง ขอยุติด่วน เพราะเท่ากับการลดคุณภาพบริการและลดระดับหลักประกันสุขภาพที่ประชาชนควรได้รับ

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง ขอให้ยุติการนำเงินเดือนส่วนเพิ่มมาตัดงบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ระบุว่า ​สืบเนื่องจากการจัดทำงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2565 ซึ่งเป็นงบค่ารักษาพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของผู้ป่วยบัตรทอง รัฐบาลได้จัดสรรมาตามมติ ค.ร.ม.เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 จำนวน 198,891ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบ 2564 จำนวน 4,380ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 2.3 % ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เมื่อเทียบกับภาระงานและความคาดหวังในการประชาชนคนไทยมีแนวโน้มอย่างชัดเจนว่า ทางสำนักงบประมาณจ้องจะปรับลดงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในทุกหนทางโดยในปีงบ 2565 นั้นทางสำนักงบประมาณได้นำเงินเดือนจากการบรรจุข้าราชการใหม่ในช่วงสถานการณ์โควิดมาคำนวณในการตัดเงินเดือนจากงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วย ส่งผลให้งบประมาณจากที่ควรจะได้รับต้องถูกหักเพิ่มอีก 3,143.33ล้านบาท เท่ากับว่าในปีงบ 2565 นั้น งบดำเนินการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าลดลงไป 1,814.62ล้านบาท หรือลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2564

รัฐบาลคาดหวังการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของระบบสาธารณสุข ประชาชนยิ่งคาดหวังกับการรับบริการที่ดีเลิศ แต่การจัดสรรงบประมาณกลับตรงกันข้าม ให้งบดำเนินการมาอย่างจำกัดจำเขี่ย ต้องให้โรงพยาบาลต่างๆมาแย่งเค้กก้อนที่เล็กลง หนี้สินพอกพูน พัฒนาไปข้างหน้าไม่ได้สร้างความเครียดให้กับบุคลากรโดยไม่จำเป็น

(ข่าวเกี่ยวข้อง : สปสช.หารือสำนักงบฯ ไม่ขอรวมเงินเดือนขรก.ตั้งใหม่ช่วงโควิดในงบบัตรทอง)

ทางชมรมแพทย์ชนบทจึงขอให้ท่านได้ดำเนินการยุติการนำเงินเดือนส่วนเพิ่มมาตัดงบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าการหักเงินเดือนเพิ่มในงบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2565 เท่ากับการลดคุณภาพบริการและลดระดับหลักประกันสุขภาพที่ประชาชนควรได้รับ จึงขอให้ท่านได้เรียกประชุมชมรมต่างๆในประชาคมสาธารณสุขเป็นการด่วน เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวในการพิทักษ์ผลประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชน และสร้างอำนาจต่อรองกับกระทรวงการคลังต่อไป