ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์ติดเชื้อ กทม. พบอัตราป่วยสะสมสูง 5 อันดับแรก ขณะที่ผลสำรวจตลาดบางแค และตลาดอื่นๆ ในกทม. ปทุมธานี นนทบุรี ยังพบปัญหาพฤติกรรมใส่หน้ากากอนามัยไม่ถูกต้อง พูดคุยใกล้ชิดกัน ร้องเรียกตะโกน ถ่มน้ำลาย ขณะที่ผลสำรวจการ์ดตกสูง ไม่ค่อยสวมหน้ากากอนามัย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) แถลงสถานการณ์โรคโควิด19 ในประเทศไทย ว่า ผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ 77 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ต้องขอแสดงความเสียใจ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการติดเชื้อยังเช่นเดิม คือ สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และปทุมธานี ยังเป็นพื้นที่หลักที่พบผู้ติดเชื้อ สำหรับสถานการณ์โควิดในพื้นที่บางแค กรุงเทพมหานคร จากการดำเนินงานการสอบสวนโรคอย่างใกล้ชิด ระหว่างสำนักอนามัย กทม. และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานเกี่ยวข้องต่างๆ ซึ่งสถานการณ์ภาพรวมยังพบการระบาดในพื้นที่ตะวันตกของกรุงเทพมหานคร แต่ล่าสุดการติดเชื้อเริ่มลดลง

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า โดยเขตที่มีอัตราป่วยสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ เขตบางขุนเทียน 93.0 ต่อประชากรแสนคน เขตภาษีเจริญ 89.6 ต่อประชากรแสนคน เขตบางแค 77.0 ต่อประชากรแสนคน เขตปทุมวัน 41.9 ต่อประชากรแสนคน และเขตบางรัก 41.5 ต่อประชากรแสนคน อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจตลาดหลายแห่ง ไม่เพียงแต่บางแค พบว่า ส่วนใหญ่ใส่หน้ากากอนามัย แต่ใส่ไม่ถูกต้องถึง 1 ใน 3 โดยใส่ใต้ค้าง คล้องไว้ที่คอ และเว้นระยะห่างค่อนข้างยาก

นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ดูแลตลาด ร้านขายของชำ ตัวแทนชุมชน พบว่า แผงขายอาหารแต่ละชนิดอยู่ปะปนกัน ไม่ได้จัดหมวดหมู่ ลูกค้าและคนส่งของเข้าออกตลาดหลายทาง พนักงานเก็บเงินห้องน้ำ พนักงานตลาด พนักงานรักษาความปลอดภัยมีการติดเชื้อไปด้วย เพราะเจอคนในตลาดทั้งหมด และบางแผงขายไม่มีการทำความสะอาด

“ที่สำคัญสุด คือ พฤติกรรมใส่หน้ากากอนามัยไม่ถูกต้อง พูดคุยใกล้ชิดกัน ร้องเรียกตะโกน สัมผัสใกล้ชิดกัน ถ่มน้ำลาย บ้วนน้ำหมาก ลูกจ้างอยุ่กันเป็นกลุ่ม จึงขอความร่วมมือตลาดอื่นๆ ด้วย ที่ยกมาไม่ได้ตั้งใจว่าใคร แต่อยากให้เป็นบทเรียน ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่แค่กทม. จังหวัดใกล้เคียงก็ด้วย อย่างปทุมธานี หรือแม้แต่ตลาดในนนทบุรีก็พบลักษณะนี้เช่นกัน แต่มีสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ มีการปิดตลาด ปรับปรุงสุขาภิบาล มีมาตรการค้นหาเชิงรุก มีการออกบัตรรับรองผลการตรวจโควิด ก่อนอนุญาตให้เข้าขายของในตลาด ติดตามตรวจซ้ำ 1 เดือน ” นพ.โอภาส กล่าว

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้สำรวจทัศนคติความคิดเห็นประชาชนเป็นระยะ โดยดีดีซีโพลตั้งแต่ 9-22 มี.ค.64 จำนวน 1,464 ตัวอย่าง โดยสอบถามว่า หากท่านมีอาการไข้ และมีอาการไอ จาม มีน้ำมูกท่านจะสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ พบว่าจากเดิมเคยสูงถึง 95% แต่ช่วงหลังตัวเลขกลับตกลงมา เหลือเพียง 84.6% ในสัปดาห์ล่าสุด และคำถามว่าหากไม่มีอาการไข้ ไม่ป่วยจะสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ พบว่าลดลงมาอีกเหลือเพียง 74.5% ตรงนี้ต้องขอย้ำว่า ขอให้สวมหน้ากากอนามัยต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นพ.โอภาส กล่าวถึงกรณีผู้เสียชีวิตรายที่ 94  ว่า  ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีบทเรียนเหมือนกับหลายๆ กรณีก่อนหน้านี้ที่เป็นสูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงติดเชื้อจากสมาชิกในครอบครัวที่มาเยี่ยม ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีการเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่บ้านนั้น ขอเตือนว่าเวลาไปพบท่านขอพรท่านแล้วขอให้สวมหน้ากากอนามัยไปด้วย เพราะเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันโรค ก็จะทำให้ท่านมีความปลอดภัย ลูกหลานก็จะได้รับพรที่ดีจากท่าน โดยเฉพาะปีนี้ ศบค.และกระทรวงสาธารณสุขไม่ห้ามการมีเทศกาลสงกรานต์ พบปะพี่ น้อง ขอพรผู้ใหญ่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญและดีงามจึงไม่ห้าม แต่ขอความร่วมมือโดยเฉพาะคนไปจากพื้นที่เสี่ยง ต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และได้รับพรที่ดี หากมีอาการผิดปกติอะไรให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แม้ปีนี้เราจะไม่ได้เฉลิมฉลองกันอย่างสุดๆ แต่ขอให้ช่วยกันอีกสักนิด เพื่อที่เทศกาลถัดไปเราจะได้ฉลองกันอย่างมีความสุข 


สำหรับกรณีที่เชียงใหม่มีการจัดงานสาดสีเหมือนในหลายประเทศ นั้นนพ.โอกาส กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่สีเขียวการใช้ชีวิต การจัดกิจกรรม รวมพลต่างๆ สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกอย่าง ต้องทำแบบ New Normal คือคนร่วมงานสวมหน้ากากอนามัยให้มากที่สุด มีการเว้นระยะห่าง มีการวัดไข้ และการสแกนไทยชนะ โดยเฉพาะกิจกรรมที่มีการรวมกันของคนหมู่มากเป็นหลักร้อยคนจะต้องขออนุญาตจากผู้ดูแลรับผิดชอบคือท้องถิ่น สำหรับกิจกรรมสาดสีนั้นเบื้องต้นไม่ถือว่าผิด เพราะประกาศ ศบค.ห้ามสาดน้ำ ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นไปที่จังหวัดพบว่าขออนุญาตจัดกิจกรรมแล้ว  แต่อาจจะมีการละหลวม จึงเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องจะต้องไปตรวจสอบ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งว่าขนาดยังไม่ถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ยังพบกิจกรรมที่เสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นต้องไม่หละหลวม เพราะเสี่ยงเกิดปัญหาการระบาดของเชื้อโควิดได้

ทั้งนี้กิจกรรมสงกรานต์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน 1. งานส่วนบุคคล เลี้ยงในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย สามารถดำเนินการได้แต่ขอให้ระมัดระวัง งานในกลุ่มนี้ไม่ค่อยกังวลมากนัก เพราะส่วนใหญ่คนที่มางานจะรู้จักกัน เวลาเกิดปัญหา การติดตามผู้สัมผัสจะไม่ค่อยยุ่งยาก แต่แบบที่ 2 คือการจัดงานเปิด แบบสาธารณะที่ใครก็สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมได้ มีการซื้อบัตร เชิงธุรกิจแบบนี้ตามตัวคนได้ยาก หากไม่มีมาตรการที่รัดกุม ดังนั้นไม่ห้ามแต่ต้องทำตามกติกาที่ตกลงกันไว้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับทุกคน