ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ที่ปรึกษา ศบค. เผยสถานการณ์ระบาดโควิดในไทย ขณะนี้เข้าระบาดระลอก 3 ขอทุกคนยกการ์ดสูงสุด สกัดเชื้อพุ่งหลังสงกรานต์ แจงวัคซีนในไทย คิดรอบคอบก่อนสั่งซื้อยันมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ขอปชช.ฟังข้อมูลรอบด้าน ระบุ ฉีดแล้วยังติดเชื้อได้ แต่ลดป่วย ลดตาย

เมื่อวันที่ 7 เม.ย. นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ให้สัมภาษณ์ถึงประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด -19 ในรายการ “รวมใจสู้ภัยโควิด -19” ว่า การฉีดวัคซีนมีประโยชน์แน่นอน ประเด็นหลักๆ มี 3 ประเด็นคือ 1. ฉีดเพื่อการสร้างภูมิต้านทานป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าร่างกาย ซึ่งข้อมูลปัจจุบัน วัคซีนทุกตัวมีข้อมูลตรงนี้น้อยมาก ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 50-60 % 2. ที่ดีคือฉีดวัคซีนแล้วช่วยป้องกันป่วยหนัก ป้องกันการเสียชีวิต โดยวัคซีนของทุกบริษัททำได้เกือบ 100% แค่ประโยชน์นี้ก็คุ้มแล้ว ส่วนประเด็นที่ 3. ป้องกันการแพร่เชื้อจากเราสู่ผู้อื่นหรือไม่ก็ยังไม่มีข้อยืนยัน

เมื่อถามถึงกรณีรมว.คมนาคมฉีดวัคซีนแล้วติดโควิด ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวัคซีน นพ.อุดม กล่าวว่า ที่เราเลือกซิโนแวค และแอสตราเซนเนกา ก็ผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งขึ้น มีผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์โรงเรียนแพทย์ต่างๆ พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยดูประสิทธิภาพ ราคา การจดเก็บ แล้วการจะเอาวัคซีนของไฟเวอร์ โมเดอร์น่ามาก็ไม่เหมาะเพราะต้องจัดเก็บที่อุณหภูมิติดลบมากๆ แค่ต้องลงทุนตรงนี้ก็มหาศาลแล้ว ดังนั้นเราพิจารณาเลือกแล้วอย่างดี ได้ประโยชน์แน่นอน ดังนั้นขอให้ฉีดเถอะ อย่าฟังข้อมูลมุมเดียว ไฟเซอร์ โมเดอร์น่า ฉีดครบ 2 เข็มแล้วยังติดได้

“รมว.คมนาคม ฉีด 1 เข็ม ภูมิจะมีสัปดาห์ที่ 2ที่ 3 เชื่อว่าทานมีแล้ว แต่ยังไม่ 100 % ต่อให้รับเข็ม 2 ก็ยังไม่ 100% เช่นกัน เพราะไม่มีวัคซีนตัวไหนกันได้ 100 % แต่ที่ดีที่สุดคือการป้องกันตัวเอง ฉีดแล้วต้องป้องกันตัวเองด้วย ไม่ใช่ไปลั้นลา ที่ต่างประเทศก็เป็นลักษณะนี้คือฉีดวัคซีนแล้วยังต้องป้องกันตัวเอง ยิ่งตอนนี้การระบาดระลอก 3 กำลังมาเราต้องหลีกเลี่ยงไม่พาตัวเองไปเสี่ยง อย่างสถานบันเทิงเสี่ยงมาก การระบายอากาศไม่ดี ซึ่งเทศกาลสงกรานต์ก็พยายามให้จัดกลางแจ้ง จัดเฉพาะญาติสนิท สวมหน้ากากตลอดเวลา นี่คือสิ่งสำคัญ สำคัญกว่าการฉีดวัคซีน” นพ.อุดม กล่าว

เมื่อถามต่อว่าเหตุใดรัฐบาลไม่เปิดให้เอกชนนำเข้าเพื่อฉีดให้ประชาชนเร็ว เพื่อจะได้ป้องกันตัวเองมากขึ้น นพ.อุดม กล่าวว่า ตนอยู่ในการประชุมด้วย ท่านนายกรัฐมนตรี ก็ย้ำว่าหากเอกชนทำได้ก็ให้มาช่วยรัฐบาลด้วย เพราะเราต้องการฉีดให้ครอบคลุมประชาชนไม่นับรวมกลุ่มเด็ก เราต้องการฉีดให้ครอบคลุมให้ได้ราวๆ 60-70% ของประชากร หรือประมาณ 30 ล้านคน ซึ่งขณะนี้รัฐจองวัคซีนไว้หมดแล้ว พอเพียง และไม่เสียเงิน แต่ถ้าเอกชนจะเอาเข้ามาก็ไม่ได้ห้าม แต่ต้องมาขึ้นทะเบียนกับ อย. อย่างขณะนี้มีวัคซีนตัวที่ 3 มาขึ้นทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่มีใครเอาเข้ามาจริง เพราะถ้าไปสั่งซื้อตอนนี้กว่าจะได้วัคซีนจริงก็ประมาณปลายปี เพราะวัคซีนของเขามีการสั่งจองไว้หมดแล้ว

“ในขณะที่ตอนนี้เรามีวัคซีนอยู่ในมือจำนวนมากแล้ว มีของซิโนแวคล็อตล่าสุด 8 แสนโดส และที่กำลังจะเข้ามาอีก รวมถึงวัคซีนของแอสตร้าฯ ที่จะทยอยออกมาอีกเดือนละ 10 ล้านโดส ก็ถือว่าครอบคลุมคนไทย 66 % ดังนั้นถ้าเอกชนสั่งเข้ามาเดือนธ.ค. ก็ถือว่าตลาดวายแล้ว แต่ถ้าเขาสั่งเข้ามาได้เร็ว 1 – 2เดือน ก็คุ้มซึ่งก็ย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยห้าม แต่นี่เป็นเรื่องของการตลาด” นพ.อุดม กล่าว

นพ.อุดม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รัฐบาลไม่ได้ห้ามการเดินทาง เพราะเป็นประเพณีสำคัญให้พี่น้องได้พบปะ และเกิดการใช้จ่ายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ดังนั้นเชื่อว่าประชาชนมีการเคลื่อนย้ายเยอะ ก็มีการคาดการณ์ว่าในช่วงสั้นๆ 2- 3 สัปดาห์หลังสงกรานต์ อาจจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ขอให้ช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น เพราะถึงจะเจอผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่มากเราก็ยังไหว ยังควบคุมได้ แต่ก็ต้องเน้นย้ำว่าให้ช่วยกันจริงๆ ต้องระวังตัวขั้นสูงสุด เพราะเรายังไม่รู้ว่าใครบ้างที่ติดเชื้อไม่รู้ตัว เชื่อว่าถ้าคนไทยยังเข้มแข็งการระบาดหลังสงกรานต์อาจจะเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก