ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ศบค.เผยโควิดเสียชีวิตอีก 3 ราย มี 1 รายเป็นพนง.เสิร์ฟสถานบันเทิง มีอาการแต่ซื้อยากินเอง และพักที่บ้าน เริ่มรุนแรง จึงติดต่อรพ. พบว่าอาการทรุด เสียชีวิตในที่สุด ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ย้ำเมื่อเจ็บป่วยควรเข้าสู่กระบวนการรักษา แม้อาการยังเล็กน้อย เพื่อช่วยเหลือได้ทัน ขณะที่อีกรายติดเชื้อจากหลานมาเยี่ยม อีกรายกินอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อ

เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,390 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,384 ราย แบ่งเป็นระบบเฝ้าระวังและบริการ 1,058 ราย และผู้ติดเชื้อจากการคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 326 ราย กลุ่มผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค(Quarantine) 6 ราย

ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยรวมสะสม 43,742 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 40,502 ราย จากการคัดกรองเชิงรุก 20,594 ราย รักษาหายแล้ว 28,787 ราย เหลือรักษาอยู่ 14,851 ราย แบ่งเป็นอยู่ในโรงพยาบาล(รพ.) 14,288 ราย รพ.สนาม 563 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย สะสม 104 ราย โดยการระบาดระลอกใหม่เดือนเม.ย.2564 สะสม 14,879 ราย เสียชีวิตสะสม 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.07

 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตรายที่ 102 ของประเทศไทย เป็นชายไทย อายุ 56 ปี อาชีพพนักงานเสิร์ฟในสถานบันเทิง กรุงเทพมหานคร(กทม.) โรคประจำตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองตีบ ขณะป่วยอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. มีอาการไอ ตัดสินใจซื้อยารับประทานเอง และนอนพักรักษาที่บ้าน กระทั่งเมื่อวันที่ 17 เม.ย. เวลา 16.30 น. ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบมากขึ้น จึงเข้าพบแพทย์ที่คลินิก ต่อมาเวลา 20.30 น. วันเดียวกัน เริ่มหายใจติดขัด ครอบครัวจึงติดต่อรถพยาบาลมารับเข้ารักษาที่ รพ. ในเวลา 22.00 น. ต่อมามีอาการแย่ลง หัวใจหยุดเต้น เจ้าหน้าที่ทำการฟื้นคืนชีพ แต่ไม่ดีขึ้นและผลยืนยันติดเชื้อโควิด-19 กระทั่งเมื่อวันที่ 18 เม.ย. เสียชีวิตในเวลา 00.31 น.

 

“เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ว่า ขณะที่มีการเจ็บป่วย เราไม่ควรอยู่บ้าน แต่ควรเข้ารับบริการ เข้าสู่กระบวนการรักษาแม้ว่าจะมีอาการเล็กน้อย เพื่อให้ได้การช่วยเหลือดูแลได้ทัน  อย่างเช่นผู้เสียชีวิตรายนี้ เมื่อมีอาการหนัก เข้าสู่การรักษาพบว่า มีอาการแย่ลงรวดเร็ว กระทั่งชีวิต แพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ทั้งนี้ ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว” พญ.อภิสมัย กล่าว

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตรายที่ 103 เป็นหญิงไทย อายุ 84 ปี โรคประจำตัว คือ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและต้องล้างไตเป็นประจำ ขณะป่วยอยู่ที่ กทม. มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า เป็นหลานชายที่ทำงานในสถานบันเทิงย่านรัชดา โดยวันหยุดที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 3 เม.ย. หลานกลับไปเยี่ยมยายที่บ้าน มีการสัมผัสใกล้ชิด โดยทราบภายหลังว่าหลานชายติดเชื้อ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เม.ย. มีอาการไข้ ไอ เหนื่อยหอบ ผลเอกซเรย์พบปอดอักเสบรุนแรง แพทย์พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ แต่อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ผลยืนยันติดเชื้อโควิด-19 และเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ความดันโลหิตตก และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ผู้เสียชีวิตรายที่ 104 เป็นหญิงไทย อายุ 61 ปี อาชีพขายค้า อยู่จ.ประจวบคีรีขันธ์ โรคประจำตัว คือ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไทรอยด์ ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้สัมผัสผู้ติดเชื้อ ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ เดินทางไปขายของได้ กระทั่ง เมื่อวันที่ 6 เม.ย. มีประวัติรับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อยืนยันรายก่อนหน้าเป็นผู้ที่ไปสถานบันเทิง อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ได้รับแจ้งว่าเพื่อนติดเชื้อ จึงไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ผลยืนยันติดเชื้อ เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ได้เข้ารักษาใน รพ. และเมื่อวันที่ 18 เม.ย. มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

พญ.อภิสมัย กล่าวต่อว่า ปัจจัยเสี่ยงที่เราเน้นย้ำเสมอคือการสัมผัสผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เป็นคนในครอบครัว คนที่เราไว้วางใจ ทำให้ไม่ได้ระมัดระวัง จึงเกิดการติดเชื้อ และอย่างที่ทราบดีกว่า กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่อาการทรุดลงรวดเร็ว นำไปสู่การเสียชีวิตได้ จึงต้องเน้นย้ำประชาชน ระวังการแพร่ระบาดไปสู่คนใกล้ชิด

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 709,437 ราย สะสมที่ 141,999,278 ราย ผู้เสียชีวิตรายใหม่ 9,418 ราย สะสม 3,032,862 ราย โดยประเทศไทยอยู่อันดับที่ 109 และประเทศที่พบการติดเชื้อสูง คือ สหรัฐอเมริกา แต่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ อินเดีย ที่หลังเทศกาลก็พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 2 แสนรายต่อวันมาโดยตลอด ส่วนในทวีปเอเชีย คือ มาเลเซีย พบรายใหม่ 2,195 ราย กัมพูชา 618 รายและระบบสาธารณสุขเริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้น เราต้องจับตาอย่างใกล้ชิด