ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สวรส.เผยวิธีการกระจายและฉีดวัคซีนโควิด19 ในอนาคตเมื่อมีประสบการณ์ ความพร้อม ไม่จำเป็นต้องฉีดภายใน รพ. แต่สามารถเปิดสถานที่ฉีดอื่นๆ ที่มีความพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินได้มากขึ้น

นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หนึ่งในคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กล่าวถึงการจัดหาวัคซีนโควิดเพิ่มเติม ว่า รัฐบาลมีการเตรียมการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดสในหลายยี่ห้อ ซึ่งในจำนวน 35 ล้านโดสนี้ ส่วนหนึ่งเป็นความร่วมมือของภาคเอกชนที่จะเข้ามาช่วยรัฐบาลในการจัดหาให้กับพนักงานลูกจ้างเองราว 10-15 ล้านโดส โดยกระบวนการต่อไปเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการโดยเร่งด่วนและเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้มีการวางแผนการกระจายและฉีดวัคซีนที่จัดหามาให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคมนี้

"โดยวิธีการกระจายและฉีดวัคซีนที่เข้ามาในช่วงแรก ใช้แนวคิดการกระจายวัคซีนเฉลี่ยไปตามจำนวนจังหวัดและโรงพยาบาล ซึ่งจะพบว่าตัวเลขที่เหลือจะไม่มากนัก จากนั้นเราจัดลำดับความสำคัญของการฉีด โดยจะให้ความสำคัญไปที่บุคลากรทางการแพทย์เป็นอันดับแรกก่อนเพราะเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ โดยจะเรียงลำดับอีกทีในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด้วยกันตามความเสี่ยงหรือใกล้ชิดกับโรค รวมทั้งจำนวนโดสที่ได้มาต้องหาร 2 เพราะ1 คนต้องฉีด 2 เข็ม และการฉีดที่ปลอดภัยจะดำเนินการได้ภายใน รพ.เท่านั้น ซึ่งกระบวนการฉีด 1 คนโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ1 ชม. แต่อนาคตอาจจะกระจายการฉีดออกไปนอกรพ.ได้มากขึ้น เมื่อเรามีข้อมูลมีประสบการณ์มากขึ้นการกระจายก็จะทำได้มากขึ้น ใช้เวลาน้อยลง เปิดสถานที่ฉีดได้หลากหลายมากขึ้น เพราะมีสถานที่ที่มีความพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินได้มากขึ้น เป็นต้น " นพ.นพพร กล่าว

นพ.นพพร กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ในด้านการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้นั้น เกิดจากปัจจัย 2 ส่วน คือ 1) ความสามารถในการแพร่กระจายของเชื้อโรค และ 2) จำนวนการฉีดวัคซีน ซึ่งวันนี้มีโรคสายพันธุ์ใหม่เข้ามา ซึ่งความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อมีเพิ่มขึ้น การฉีดจึงต้องครอบคลุมเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของประชากร ซึ่งหมายถึงเราต้องการจำนวนโดสวัคซีนที่เพิ่มขึ้น ยังไม่รวมถึงกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่คนไทยที่ต้องฉีดไปให้ถึง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้คนไทย เช่น แรงงานต่างชาติในประเทศราว 2 ล้านคนเพราะเขาใกล้ชิดติดต่ออยู่ร่วมกับเรา รวมทั้งกลุ่มอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น นักการทูต เป็นต้น

หรือแม้แต่ในด้านของกระบวนการทางมาตรฐานความปลอดภัยของวัคซีนเอง ซึ่งต้องใช้เวลาและมีกระบวนการหลายขั้นตอน เช่น การผลิตวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าในช่วงต้น ต้องส่งตัวอย่างการผลิตของไทยกลับไปยังบริษัทประเทศต้นทางให้ตรวจสอบมาตรฐานการผลิตของไทยก่อนว่าได้มาตรฐานหรือไม่อย่างไร จึงจะอนุญาตให้ผลิตเพื่อนำมาใช้งานได้ รวมทั้งเมื่อบริบทหรือสถานการณ์ประเทศเปลี่ยนไป เป้าหมายการแก้ปัญหาของประเทศก็เปลี่ยนแปลงหรือมีปัจจัยให้ต้องพิจารณามากขึ้น เช่น สถานการณ์โควิด-19 ยังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจด้วย ประเด็นการเปิดประเทศจึงถูกนำมาคิด แนวคิดการกระจายวัคซีนจึงต้องเปลี่ยนโดยต้องส่งไปยังจุดสัมผัสนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้เกิดวิธีการกระจายใหม่ เช่น ไปในจังหวัดหรือแหล่งท่องเที่ยว สถานบันเทิง เป็นต้น ทั้งหมดรัฐบาลต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพเพียงพอและทั่วถึงกับประชาชนทุกคน 

ส่วนประเด็นรัฐบาลกีดกันเอกชนไม่ให้นำเข้าวัคซีนหรือไม่นั้นว่า รัฐบาลไม่ได้กีดกันภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีนแต่อย่างใด แต่ข้อเท็จจริงมีอยู่ 3 ประการ คือ 1) วัคซีนเป็นตลาดของผู้ขาย ที่มีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งขณะนี้มียอดสั่งจองรวมทุกบริษัทเกินกว่า 1-2 พันล้านโดสแล้ว หากประเทศมีความต้องการซื้อในจำนวนไม่มากพอก็มีความยากในการได้รับวัคซีน ซึ่งในกรณีนี้รัฐบาลมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงความร่วมมือของภาคเอกชนเข้ามาร่วมทำงาน ซึ่งจะสามารถใช้ศักยภาพในด้านความสัมพันธ์ที่ดีที่สามารถดึงให้ผู้ผลิตมีการส่งวัคซีนเข้ามาประเทศเราได้มากขึ้น 2) บริษัทที่จะนำเข้าวัคซีนได้มี 13 หน่วยงานในประเทศเท่านั้น เพราะต้องมีการรับรองคุณภาพ มีห้องเย็น มีระบบ Logistic ที่พร้อมและเพียงพอ

และ 3) วัคซีนที่จะนำเข้ามาในประเทศต้องนำมาขึ้นทะเบียนที่ไทยอีกที ที่อาจทำให้เกิดความล่าช้าซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและป้องกันความไม่ปลอดภัยของวัคซีนที่อาจเกิดขึ้น เพราะวัคซีนโควิด-19 เป็นเรื่องใหม่ของโลกและเป็นวัคซีนแรกที่ถูกนำมาใช้ โดยบริษัทที่จะขึ้นทะเบียนต้องส่งเอกสารที่ทำการทดลองที่ชัดเจน ตลอดจนเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือ รวมทั้งบริษัทต้องมีตัวแทนของบริษัทในประเทศไทยมาขึ้นทะเบียน ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลรับทราบและออกการรับรองเพื่อดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐานต่อไป โดยสรุปแล้วรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นใคร แต่ภายนอกอาจไม่เข้าใจกระบวนการดำเนินการที่ละเอียดอ่อน ทางตรงข้ามรัฐบาลได้ดึงความร่วมมือของภาคเอกชนเข้ามาร่วมทำงานด้วย ซึ่งเราก็พบว่าภาคเอกชนเห็นความสำคัญของสถานการณ์ปัญหาและมีความตั้งใจเข้ามาช่วยอย่างมากโดยไม่ได้มุ่งแสวงหากำไรแต่อย่างใด

สำหรับประเด็นการลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชั่น "หมอพร้อม" นั้นมีความสำคัญมาก ทั้งนี้เพื่อเกิดระบบการบริหารจัดการข้อมูล การกระจายและการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อรัฐบาลจะนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจในการบริหารจัดการดำเนินงานและงบประมาณสำหรับเรื่องวัคซีนและสถานการณ์โควิด-19 ต่อไป