ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยโควิดกรุงเทพฯ ปริมณฑลน่าห่วง ส่วน ตจว.ตัวเลขคงตัว ระวังพบติดเชื้อในครอบครัว เพื่อนร่วมงานสูง! ยกคลัสเตอร์สมุทรปราการ ติดกันจากเพื่อน ไม่สวมหน้ากากอนามัย ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ขอให้เคร่งครัดมาตรการหากทำได้จะลดผู้ติดเชื้อได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งในสัปดาห์ต่อไป

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 4 พ.ค.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวถึงสถานการณ์โควิด19 ว่า สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,763 ราย โดยอยู่ในระบบบริการ 1,519 ราย คัดกรองเชิงรุก 231 ราย มาจากต่างประเทศ 13 ราย โดยวันนี้หายป่วย 1,490 ราย สะสมหายป่วย 15,048 ราย(ระลอกใหม่เดือน เม.ย.2564) ยังมีผู้รักษาตัวใน รพ. 30,011 ราย โดยอาการหนักปอดอักเสบ 1,009 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 311 ราย และมีผู้เสียชีวิต 27 ราย

“หากพิจารณาเส้นกราฟผู้ติดเชื้อเหมือนจะทรงตัว แต่งานหนักยังคอยอยู่ในการลดการระบาดให้มากขึ้น และการคัดกรองเชิงรุกพบ 231 ราย อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมของประเทศในแต่ละวันคู่ขนานกับกรุงเทพและปริมณฑล แปลความว่า ในต่างจังหวัดสถานการณ์ค่อนข้างคงตัว จุดสำคัญถ้าจะลดการระบาด คือ ต้องจัดการพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะกลุ่มก้อนใหญ่ อย่างชุมชนแออัดหลายชุมชน โดยหากเราควบคุมสถานการณ์ได้ และพี่น้องประชาชนร่วมมือกัน เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน เจ้าหน้าที่กทม.ร่วมมือกันทั้งหมดจะควบคุมสถานการณ์ได้” นพ.โอภาส กล่าว

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า วันนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบผู้ติดเชื้อ 563 ราย ส่วนปริมณฑล 249 คน ดังนั้น กรุงเทพและปริมณฑลจะพบ 956 ราย แต่จังหวัดอื่นๆ ส่วนใหญ่กว่า 58 จังหวัดมีผู้ป่วยไม่ถึง 20 ราย แสดงว่าสถานการณ์ต่างจังหวัดน่าพอใจ แม้จะพบผู้ป่วย แต่มาตรการติดตามค้นหายังทำได้ดี ต่างจังหวัดค่อนข้างเบาใจได้ แต่ก็ต้องเคร่งครัดมาตรการต่างๆเช่นเดิม ทั้งมาตรการส่วนบุคคล องค์กร ชุมชน ฯลฯ

ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มทยอยหายดีขึ้น อัตราการหายอยู่ที่กว่า 95% ดังนั้น หากเป็นแบบนี้ประมาณ 1-2 สัปดาห์สถานการณ์การรักษาในรพ.จะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนสถานการณ์เตียงของกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราจะเห็นว่า ผู้มีอาการน้อย หรือไม่มีอาการจะไม่มีปัญหา เพราะมีรพ.สนาม มีฮอสพิเทล แต่ที่ต้องจับตาผู้ป่วยสีแดง ซึ่งต้องใส่เครื่องช่วยหายใจและต้องอยู่ห้องไอซียู ขณะนี้มีเตียงรองรับได้อยู่ 173 เตียง หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ยังพอรับได้ แต่ทางปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการเพิ่มศักยภาพ รพ. ให้จัดหาไอซียูเพิ่มเติม ส่วนผู้อาการปานกลางสีเหลือง ได้ให้รพ.ในสังกัดสธ.เพิ่มศักยภาพ ซึ่งขณะนี้เพิ่มอีก 2 พันกว่าเตียง

ส่วนการส่งต่อรับการรักษาผู้ป่วยนั้น ขณะนี้มีศูนย์แรกรับส่งต่อ นิมิบุตร ของกระทรวงสาธารณสุข โดยข้อมูล ณ วันที่ 3 พ.ค. เวลา 18.00 น. ได้มีการส่งเข้ารักษาสำเร็จได้ 239 ราย คิดเป็น 96.8% จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการตรวจไปแล้วเกือบ 5 ล้านตัวอย่าง บางวันขึ้นไปถึง 7 หมื่นตัวอย่างต่อวัน โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 หมื่นตัวอย่างต่อวัน อย่างวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมาตรวจไปแล้ว 41,357 ตัวอย่าง โดยเฉพาะการตรวจเชิงรุก ตรวจไปแล้ว 10,729 ตัวอย่าง พบผู้ติดเชื้อร้อยละ 2 และภาพรวมพบผลบวกร้อยละ 4 ซึ่งแนวโน้มการติดเชื้อเริ่มน้อยลง แต่ก็ต้องพิจารณาข้อมูลหลายส่วนพร้อมกัน

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ส่วนเหตุการณ์การระบาดกลุ่มก้อนใหญ่ จ.สมุทรปราการ มาจากผู้ป่วยรายแรกเป็นคนงานในโรงงานติดเชื้อ แล้วมาติดเชื้อเพื่อนร่วมงาน 2 คน และเมื่อเข้าไปทำงานในโรงงานต่อ ซึ่งความเสี่ยงคือ ผู้ติดเชื้อต้องพบเจอผู้คนหลายแผนก ขณะเดียวกันการกินอาหารก็ต้องถอดหน้ากากอนามัย ซึ่งการกินอาหารก็จะมีการพูดคุยกับเพื่อน ทำให้มีโอกาสติดเชื้อสูง และโรงงานนี้ไม่มีมาตรการเคร่งครัดในสุขอนามัยมากนัก ยังพบว่ามีการใช้แก้วน้ำร่วมกันใบเดียวในการกดน้ำดื่ม โดยโรงงานจะถูกปิดทำความสะอาด และคัดกรองผู้ติดเชื้อ หาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงไปกักตัว ตรงนี้จึงเป็นสิ่งเตือนใจว่า แต่ละโรงงานขอให้เคร่งครัดมาตรการ คอยตรวจตราพนักงานของท่าน ขอให้งดสังสรรค์ในกลุ่มเล็กๆ เพราะผับบาร์ปิด แต่ไปจัดกิจกรรมกลุ่มเล็กๆกันในบ้านทั้งนี้ กรณีคลัสเตอร์สมุทรปราการก็จะคล้ายๆ ระนอง ซึ่งคนที่ไปพบคนหมู่มาก จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยมากๆ 2 เหตุการณ์นี้คล้ายกัน

“ขณะนี้พบการติดเชื้อคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานสูงถึงร้อยละ 54 ดังนั้น ทุกองค์กร หรือครอบครัวขอให้ใส่หน้ากากอนามัยให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะในที่ทำงานขอให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอด และอย่ากินข้าวร่วมกัน และอยู่ในบ้านที่มีผู้สูงอายุขอให้ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อต้องพบท่าน เพราะหากทำได้จะลดผู้ติดเชื้อได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งในสัปดาห์ต่อไป” นพ.โอภาส กล่าว และว่า หลังจากมีข้อบังคับการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ จากการสำรวจโดย AI พบว่าประชาชนใส่หน้ากากอนามัยถูกต้อง 98.14% มีใส่ไม่ถูกต้อง 1.07% และไม่ใส่หน้ากากอนามัย 0.79%