ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีมติ 3 เรื่อง ทั้งการเพิ่มจุดฉีดวัคซีน พร้อมตั้งโมบายฉีดในอนาคต และเห็นชอบตามหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ของจีนให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” ได้ และออกอนุบัญญัติตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 เปรียบเทียบปรับกรณีไม่สวมหน้ากากอนามัย

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล นองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2564 ว่า ในปลายเดือนพ.ค.นี้จะมีการกระจายวัคซีนฉีดจำนวนมาก ดังนั้นคณะกรรมการฯ มีมติ 3 เรื่อง คือ 1.กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า ภาคเอกชน จะมาร่วมในการฉีดวัคซีนในประชากรวัยแรงงานรวม 16 ล้านคน โดยมีสํานักงานประกันสังคม และทางจังหวัดเป็นผู้รวบรวมจำนวนและรายชื่อแรงงานที่จะรับวัคซีนในโอกาสต่อไป

นอกจากนี้ ยังจะมีการเพิ่มจุดฉีดวัคซีน ที่นอกเหนือจากสถานพยาบาลของรัฐ ในกรุงเทพฯ 82 แห่ง และต่างจังหวัดประมาณ 300 แห่ง โดยคุณสมบัติเบื้องต้นจะต้องมีการดูแลในเรื่องของระบบสุขาภิบาล เรื่องการระบายอากาศ มีระบบการเฝ้าระวังอาการหลังการฉีด 30 นาที และการให้การช่วยเหลือหากกรณีมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น อาทิ ตั้งในโรงงาน ศูนย์การประชุม ลักษณะคล้ายกับรพ.สนาม อนาคตอาจจะมีการดำเนินการฉีดผ่านรถโมบาย

2. คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบแนวทางในการฉีดวัคซีนของซิโนแวค ให้กับผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ เนื่องจากผลการศึกษาของประเทศจีนมีความชัดเจนมากขึ้น จากนี้จะส่งเรื่องให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไปจึงจะดำเนินการฉีดในกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้

3. คณะกรรมการฯ มีความเห็นชอบให้ออกอนุบัญญัติตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ในเรื่องของการเปรียบเทียบปรับกรณีไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเวลาออกนอกเคหสถาน โดยจะมีการอนุโลม ยกเว้น และการลดค่าปรับตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนแต่ยังยืนยันว่าขอความร่วมมือในการสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาต้องออกนอกบ้านหรือไปในที่ที่มีคนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งเจ้าพนักงานตามกฎหมายเพิ่มเติมคือข้าราชการสังกัดกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ

"นอกจากสวมหน้ากากอนามัยแล้ว ยังมีมาตรการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ยังเป็นมาตรการสำคัญ ทำให้ผ่านวิกฤติโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว" นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับค่าปรับที่มีการหารือการคร่าวๆ จะแบ่งเป็นการกระทำผิดครั้งแรกปรับไม่เกิน 1,000 บาท หากมีการกระทำผิดซ้ำจะปรับตั้งแต่ 1,000 บาทแต่ไม่เกิน 10,000 บาท และถ้ายังมีการกระทำผิดอีกก็จะปรับในหลักหมื่นแต่ไม่เกิน 20,000 บาท อย่างไรก็ตามในรายละเอียดจะต้องมีการหารือเพื่อวางโครงร่างที่ชัดเจนอีกครั้ง ทั้งนี้การจับปรับไม่ได้หวังเงินทองของประชาชน แต่เพื่อเป็นการป้องปรามให้ประชาชนตระหนักถึงสถานการณ์ ขณะเดียวกันก็ให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจ