ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

องค์การเภสัชฯ ร่วมสมาคมรพ.เอกชน เคลียร์นำเข้าวัคซีนทางเลือกต้องให้อภ. เป็นตัวแทนนำเข้า เพราะเป็นกติกาทั่วโลกการใช้ภาวะฉุกเฉิน ย้ำ! ราคาวัคซีนไม่เอากำไร ภาคเอกชนทำประกันกรณีอาการไม่พึงประสงค์ มอบให้รพ.แต่ละแห่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาผลจากวัคซีน เบื้องต้นอาการปานกลางครอบคลุม 1 แสน หากเสียชีวิต 1 ล้าน

เมื่อเวลา10.30 น. วันที่ 8 พ.ค. องค์การเภสัชกรรม(อภ.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แถลงข่าวออนไลน์ เรื่อง องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาวัคซีนให้กับโรงพยาบาลเอกชนโดยมี นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เป็นประธาน พร้อมด้วย ภญ.ศิริกุล เมธีวีรังสรรค์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และ ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ร่วมแถลงข่าวผ่านระบบ Microsoft Teams

ภญ.ศิริกุล เมธีวีรังสรรค์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ในการใช้วัคซีนโควิดภาวะฉุกเฉินทั่วโลก บริษัทผู้ผลิตจะติดต่อกับภาครัฐเท่านั้น เนื่องจากจะมีเรื่องความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องรับ รวมทั้งเรื่องไม่ให้เกิดการเกร็งกำไรมากขึ้น จึงต้องอยู่ภายใต้รัฐ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและโปร่งใสระหว่างการดำเนินงานในการนำวัคซีนเข้ามาและจำหน่ายกับทางภาคเอกชน จึงต้องชี้แจงดังนี้

กรณีการนำวัคซีนเข้ามาสำหรับภาคเอกชน โดยองค์การเภสัชกรรม เริ่มจาก บริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะกำหนดให้คู่สัญญาต้องเป็นภาครัฐเท่านั้น และจะมีเอกสารและข้อตกลงทางกฎหมาย 4 ฉบับ เริ่มจากหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อนจัดหาวัคซีน จากนั้นบริษัทและทางองค์การฯ จะเซ็นเอกสารรักษาความลับ จากนั้นก็จะมีเอกสารข้อเสนอการจัดหา หลังจากนั้นก็จะมีการปล่อยเอกสารเพื่อให้ตัวแทนนำไปขึ้นทะเบียนได้ โดยจะต้องยื่นขอทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เมื่อได้ทะเบียนก็จะเป็นการตกลงว่า จำนวนเท่าไหร่ ส่งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ จะมีเอกสารและข้อตกลงทางกฎหมาย 1 ฉบับ ระหว่างองค์การฯ และรพ.เอกชน ซึ่งกรณีนี้ ทางรพ.เอกชนจะทำประกันกรณีหากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ นี่คือกระบวนการทำงานไม่ว่าประเทศใดก็ต้องดำเนินการตามนี้

ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า สำหรับทางภาคเอกชนบริบทการเข้าวัคซีน ซึ่งอยู่ในเฟส 3 กติกาจึงต้องผ่านทางรัฐบาล ซึ่งเป็นกติการทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนมีการช่วยฉีดวัคซีนโควิดด้วยการฉีดทุกที่ โดยฉีดให้บุคคลทั่วไปไม่ใช่แค่ฐานลูกค้าเท่านั้น เราต้องการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ 2.การฉีดวัคซีนในสมาชิกและนอกสมาชิกของเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ส่วนกรณีวัคซีนที่ต้องจ่ายเงินเองนั้น ทางสมาคมฯ ได้สำรวจความต้องการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจมีหลายตัวในอนาคต เนื่องจากขณะนี้วัคซีนอยู่ในเฟส 3 อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจแล้วว่า ใครต้องการเท่าไหร่ ก็จะทำหนังสือคู่กับองค์การเภสัชกรรมเพื่อจัดหาวัคซีน แต่ต้องเรียนว่า สำหรับรพ.เอกชนอยากให้มีวัคซีนก่อน จึงจะเปิดทำการจอง ส่วนราคาฉีดทั่วประเทศ วัตถุประสงค์หลักคือ ต้องการช่วยให้คนได้ฉีดวัคซีนมากที่สุด ซึ่งราคาจะเท่ากันหมด

ผู้สื่อข่าวสอบถามสมาคมโรงพยาบาลเอกชนกรณีการสำรวจความต้องการวัคซีน ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวว่า ขณะนี้ให้เอกชนสำรวจภายในของตนเอง เพราะทุกคนมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ส่วนวัคซีนที่ต้องจ่ายเงินเอง เราไม่เน้นกำไร จะมีการคิดค่าบริการจากต้นทุนวัคซีน ค่าบริการ ค่าสังเกตอาการหลังการฉีด และค่าประกัน ซึ่งตัวแปรสำคัญ คือ ต้นทุนวัคซีนที่จะนำเข้ามาแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน โดยขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นตัวไหน จึงยังไม่สามารถระบุราคาแพคเกจได้ แต่ในส่วนของค่าประกันเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนนั้นได้มีการหารือกับคปภ.แล้วเบื้องต้น โดยได้ออกแบบให้มีผลตั้งแต่เข็มที่ 1 และครอบคลุม 90 วัน ซึ่งราคาทำประกันจะอยู่ในกรอบ 50-100 บาท โดยจะไม่ให้เกิน 100 บาท 

"การบริการวัคซีนทางเลือกในส่วนของรพ.เอกชนที่เป็นสมาชิกสมาคมรพ.เอกชนที่มีเกือบ 400 แห่งทั่วประเทศจะเป็นแพคเกจที่มีราคาเดียวกันทั่วประเทศ เพราะการให้บริการตรงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงวัคซีนมากขึ้น เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่โดยเร็ว ไม่ได้หวังกำไร แต่ยังไม่สามารถระบุราคาแพคเกจได้ เพราะยังไม่ทราบราคาต้นทุนวัคซีนดังที่กล่าว"ศ.นพ.เฉลิมกล่าว


ต่อข้อถามรพ.เอกชนระบุไทม์ไลน์ได้หรือไม่ว่าจะสามารถให้บริการวัคซีนทางเลือกกับประชาชนได้เมื่อไหร่ ศ.นพ.เฉลิม กล่าวว่า วัคซีนที่จะนำเข้ามาต้องขึ้นทะเบียนกับ อย.ไทยก่อน โดยขณะนี้ที่ผ่านขึ้นทะเบียนแล้ว คือ ซิโนแวค แอสตราเซนเนกา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และโมเดอร์นาที่อยู่ระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตาม วัคซีนโควิด 19 ที่มีการใช้อยู่ขณะนี้มี 4 แพลตฟอร์ม คือ ชนิดเชื้อตาย ไวรัลแวกเตอร์ ซึ่ง2 แพลตฟอร์มนี้ใช้โดยรัฐแล้ว ชนิดmRNAอย่างไฟเซอร์ก็น่าจะเป็นจัดหาโดยรัฐ และชนิดโปรตีนเบส เช่น โนวาแวกซ์หรืออื่นๆ ซึ่งหากชนิดไหนที่ไม่ได้ใช้ในภาครัฐ ก็จะเป็นวัคซีนทางเลือกที่ประชาชนจ่ายเงินเอง แต่จะนำเข้ามาได้เมื่อไหร่ต้องให้บริษัทผู้ผลิตเป็นคนตอบ เพราะขณะนี้ทุกบริษัทตอบระยะเวลาได้เพียงจะให้เร็วที่สุดเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ได้มีการเจรจาเบื้องต้นกับบริษัทผู้ผลิตรายใดแล้วหรือไม่เกี่ยวกับวัคซีนทางเลือกนี้ ศ.นพ.เฉลิม กล่าวว่า เนื่องจากรพ.เอกชนบางแห่งมีใบอนุญาตนำเข้าชีววัตถุจากอย.อยู่แล้ว จึงจะพยายามช่วยเจรจาอีกทางหนึ่ง แต่โดยหลักจะเป็นอภ.ที่จะจัดหาได้มากกว่า เพราะบริษัทผู้ผลิตมีข้อกำหนดดีลกับรัฐเป็นหลัก
 

เมื่อถามถึงกรณีการพิจารณาผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดจะดำเนินการอย่างไร ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องขึ้นกับคณะแพทย์ของทางโรงพยาบาลว่า เกิดจากผลแทรกซ้อนของวัคซีนหรือไม่ เช่น หากเป็นอาการปานกลางครอบคลุม 1 แสนบาท แต่กรณีเสียชีวิตจะครอบคลุม 1 ล้านบาท ประเด็นอยู่ที่ว่า ต้องมีคณะกรรมการแพทย์ของแต่ละโรงพยาบาลเป็นผู้ลงความคิดเห็น ส่วนจะเข้ามาเมื่อไหร่ วัคซีนแต่ละตัวต้องขึ้นกับทะเบียนกับอย.ด้วย แต่ปัจจุบันมี 3 ตัวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว มีซิโนแวค แอสตราเซเนกา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ส่วนโมเดอร์นาอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่การกำหนดระยะเวลาว่าจะนำเข้าได้เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับทางองค์การเภสัชกรรม

“หากมีวัคซีนททางเลือก หรือต้องจ่ายเงินเอง หากเราได้ของ ผมเชื่อว่าการกระจายการกักเก็บ จะกระจายทั่วประเทศในราคาเดียวกัน โดยไม่หวังผลทางธุรกิจ แต่เรื่องไทม์ไลน์เรายังกำหนดไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่ามาถึงเมื่อไหร่ แต่ถ้ามาถึงแล้ว เราจะกระจายไปใน รพ.สมาชิกทั่วประเทศ 400 แห่ง และจะเริ่มต้นฉีดพร้อมกัน ” ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าว

นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม อยากให้เกิดความมั่นใจว่า ได้ทำหน้าที่ในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ประชาชน โดยไม่เน้นผลกำไร ซึ่งเรามาอำนวยความสะดวก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญการที่องค์การฯมาช่วย เพราะบริษัทผู้ผลิตมีข้อกำหนดว่า จะซื้อขายกับภาครัฐเท่านั้น เนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉิน จึงเป็นที่มาที่องค์การฯ จะเป็นตัวแทนในการกระจายให้กับภาคเอกชน

" การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้กับรพ.เอกชนนี้จะไม่เป็นวัคซีนตัวเดียวกับภาครัฐ เบื้องต้นมีความเป็นไปได้ใน 3 ตัว โดยขณะนี้มีวัคซีนโมเดอร์นาที่ยื่นขึ้นทะเบียนกับอย.ไทยแล้วอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนว่าจะนำเข้ามาได้เร็วแค่ไหน ยังอยู่ระหว่างการพูดคุยหารือในรายละเอียด ส่วนตัวอื่น คือ ซิโนฟาร์ม แต่ยังไม่มีการยื่นขึ้นทะเบียนกับอย.ไทยแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้ตัวแทนผู้ทรงสิทธิ์ที่แท้จริงที่จะได้รับข้อมูลรายละเอียดจากบริษัทผู้ผลิตให้มายื่นขึ้นทะเบียน และบริษัท บารัต ที่ยื่นขึ้นทะเบียนแล้วอยู่ระหว่างการพิจารณา" นพ.วิฑูรย์ กล่าว