ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองปลัดสธ.เผยความคืบหน้ากรณีเงินค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษประจำปี 2563 อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่งเรื่องให้ทางสำนักงบประมาณจัดสรร แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ ขณะที่เพิ่มขั้น 1% ก็เช่นกัน ส่วนการบรรจุข้าราชการเหลือบางกลุ่ม “ชื่อตำแหน่งไม่ตรง - วุฒิไม่ตรง” รอการพิจารณา ก.พ.

ตามที่ชมรมนักวิชาการสาธารณสุข เปิดเผยกรณีมีบุคลากรปฏิบัติงานโควิด-19 ส่วนหนึ่งร้องว่ายังไม่ได้รับ เงินค่าเสี่ยงภัยปี 2563 ตั้งแต่มี.ค. -ก.ย. 2563 ที่ผ่านมาเป็นเวลา 7 เดือน พร้อมทั้งทวงถามขั้นเงินเดือนโควิด 1% เตรียมทำหนังสือสอบถามทางกระทรวงสาธารณสุข ขอความชัดเจนนั้น

(ข่าวเกี่ยวข้อง : บุคลากรสธ.ร้องค่าเสี่ยงภัยปี 63 ราว 7 เดือนยังไม่ได้รับ!)

 

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์กับทาง “ Hfocus” เกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องนี้ ว่า จริงๆไม่ใช่เงินค่าเสี่ยงภัย แต่เป็นเงินค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้โควิด-19 เป็นงบประมาณปี 2563 โดยแบ่งเป็นเดือนละ 1,500 บาท และ 1,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ โดยทางกระทรวงสาธารณสุขส่งเรื่องไปหมดแล้ว

นพ.สุระ กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวมาจากมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบงบประมาณ 2,700 ล้านบาท มาพร้อมกับการบรรจุข้าราชการโควิด19 ซึ่งมา 2 อย่าง แต่ต้องให้ทางกระทรวงการคลังออกหลักเกณฑ์ให้ทางกระทรวงสาธารณสุข จากนั้น ทางสธ.ก็นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาแจ้งกับหน่วยงานในสังกัด เพื่อทำการขอขึ้นมา ว่า แต่ละหน่วยได้เท่าไหร่อย่างไร ซึ่งต้องสอดคล้องกัน จากนั้นเราก็ขอสนับสนุนไปที่สำนักงบประมาณเพื่อจัดสรร แต่ขณะนี้ยังไม่ได้จัดสรรลงมา โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้สอบถามไปล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2564 ซึ่งงบฯตรงนี้เป็นมติครม. ต้องมีการจัดสรร จึงไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียต้องได้รับ เพียงแต่ต้องรอทางสำนักงบประมาณ

ผู้สื่อข่าวสอบถามกรณีการปรับขั้นเงินเดือน 1% สำหรับข้าราชการบุคลากรที่ปฏิบัติงานโควิด-19 รองปลัด สธ. กล่าวว่า ทุกหน่วยงานได้เสนอขึ้นมา และอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอน

เมื่อถามถึงการบรรจุข้าราชการรุ่นโควิด มีความคืบหน้าอย่างไร นพ.สุระ กล่าวว่า ดำเนินการไปหมดแล้ว เหลือกรณีชื่อตำแหน่งไม่ตรง วุฒิไม่ตรง รอทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พิจารณาและตอบกลับมา

(ข่าวเกี่ยวข้อง : เตรียมทำหนังสือทวงถามสำนักงบฯ ปมเงินเพิ่มพิเศษบุคลากรสู้โควิด19)

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org