ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

แม้ว่าในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโคโรน่า วัคซีนจะดูเหมือนเป็นทางออกที่ห่างไกล แต่ 18 เดือนหลังจากกปรากฎตัวของโควิด-19 ในที่สุดก็มีวัคซีน 7 ชนิดที่ผ่านการรับรองสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และอีก 100 รายย่อย ที่กำลังทดลองทางคลีนิกเป็นระยะ ๆ

การฉีดวัคซีนส่วนใหญ่ในปัจจุบัยยังอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งได้ทำให้ฉีดในปริมาณ 2 โดส ห่างกันระหว่าง 4 ถึง 12 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเผชิญกับการติดเชื้อในอนาคตในสภาวะที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลและความตาย อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดด้านสายพันธุ์ใหม่และการรายงานผลข้างเคียงบางอย่างทำให้หน่วยงานด้านสุขภาพในบางประเทศเพิ่มความเป็นไปได้ของวัคซีน "ผสมและจับคู่" กล่าวคือเปลี่ยนชนิดยาเข็มที่ 2 จากชนิดเดิมนั่นเอง

ในกรณีของประเทศแคนาดาซึ่งได้อัปเดตคำแนะนำเกี่ยวกับความสามารถในการแลกเปลี่ยนวัคซีน โดยอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับ AstraZeneca โดสแรก รับวัคซีนที่สองจาก Pfizer BioNTech หรือ Moderna ในประเทศอื่น ๆ เช่น อิตาลี สเปน บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเกาหลีใต้ ก็ใช้มาตรการที่คล้ายคลึงกัน แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ที่มีการวิเคราะห์ปัญหานี้ในเชิงลึก หากมีการทดลองหลายครั้งเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้วัคซีนรวม เช่น Oxford / AstraZeneca กับ Pfizer หรือ Sputnik V ดร. Jorge Geffner ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Buenos Aires (UBA) กล่าวไว้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจาก Conicet กล่าวว่า "สิ่งที่ได้เห็นในการทดลองใช้วัคซีนทดแทนกันในเพียงไม่กี่ชนิดก็คือ ผลลัพธ์ออกมาดี"

หนึ่งในการทดลองบุกเบิกคือ CombivacS ที่ดำเนินการในสเปนและได้ส่งข้อมูลไปยังวารสารวิทยาศาสตร์ The Lancet เพื่อเผยแพร่แล้ว ซึ่งได้ติดตามผลจาก 676 คนที่ได้รับ AstraZeneca และ Pfizer / BioNTech เข็มที่สอง และนักวิจัยก็สามารถแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนนี้ เรียกว่า "heterologous" ทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพทั้งทางร่างกายและทางเซลล์

ผลการศึกษาเบื้องต้นระบุว่าระดับแอนติบอดีเพิ่มขึ้น 150 เท่าใน 14 วันหลังจากให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สอง และผ่านการทดสอบการใช้งาน ประสิทธิภาพของแอนติบอดีเหล่านี้ในการต่อต้าน SARS-CoV-2 ก็ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน
ด้านการศึกษาอื่นที่กำลังดำเนินการในสหราชอาณาจักรเรียกว่า Com-CoV และกำลังมองหาการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ได้รับการอนุมัติหลายแบบร่วมกันสำหรับการฉีดเข็มแรกและเข็มที่สอง ผลการวิเคราะห์ชั่วคราวเรื่องความปลอดภัย ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ The Lancet พบว่า การรวมวัคซีนอาจมีข้อเสียบ้างในระยะสั้น ตั้งแต่กลุ่มที่ได้รับเข็มที่ 2 ในปริมาณที่แตกต่างกันมีผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงมาก กว่าผู้ที่ได้รับเข็มที่ 2 ในปริมาณที่เท่ากัน

ตรงข้ามกับสถาณการณ์ในอาร์เจนตินา ดร. Iris Aguilar ผู้อำนวยการสมาคมการฉีดวัคซีนแห่งอาร์เจนตินา (SAVE) และสมาชิกคณะกรรมการแห่งชาติด้านการฉีดวัคซีนกล่าวกับ Chequeado หน่วยงานด้านเทคนิคที่ให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับนโยบายการสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักฐาน (Conain) ว่า วารสารต่างที่อ้างการผสมผสานวัคซีนจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Oxford วัคซีน AstraZeneca กับ Moderna หรือ Pfizer สำหรับเราเป็นการอภิปรายเชิงทฤษฎี เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนที่เป็นเทคโนโลยี mRNA ให้บริการในประเทศ 

เป็นไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ กล่าว ประเด็นนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา “ที่การประชุมของ Conain ได้มีการหารือกันถึงความสามารถในการทดแทนกันของวัคซีนที่มีในอาร์เจนตินา จากมุมมองทางทฤษฎี สรุปได้ว่า AstraZeneca และ Sputnik ซึ่งอิงจากพาหะของไวรัสทั้งสองควรรวมกันได้ แต่จนถึงตอนนี้ เรายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์เกี่ยวกับส่วนผสมนี้ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้แผนผสมวัคซีน จนกว่าจะมีการเพิ่มหลักฐานเพิ่มเติม”
ในการทดสอบประเภทนี้ พบว่ามีการทำให้เกิดปฏิกิริยาเฉพาะที่ (ผลข้างเคียง) และถึงแม้ว่าจะหยุดการเกิดปฏิกิริยาหลังจากผ่านไป 72 ชั่วโมง แต่ก็ยังมีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเช่นกัน “นี่เป็นปัญหาที่ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด เพราะอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มอายุที่ได้รับวัคซีนหรือวิธีการรายงาน” Aguilar อธิบาย

สำหรับ Geffener ในการศึกษาเหล่านี้ มีการตรวจสอบปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่ดีในแง่ของแอนติบอดี แต่เพื่อที่จะทราบประสิทธิภาพที่แท้จริงของการใช้วัคซีนรวมกัน ต้องใช้เวลารอหลายเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี้เป็นการศึกษาในประเทศที่การแพร่ระบาดของไวรัสลดลง และในที่สุด นักวิจัยของ Conicet ก็ได้ตั้งสมมติฐานว่าแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขของประเทศจะไม่แนะนำว่าวัคซีนสามารถใช้รวมกันได้ในขณะนี้ แต่เป็นไปได้ว่าในอนาคต หากมีหลักฐานเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายนี้ และในที่สุด นักวิจัยของ Conicet ตั้งสมมติฐานว่าแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขของประเทศจะไม่แนะนำว่าวัคซีนทดแทนกันได้ในขณะนี้แต่เป็นไปได้ว่าในอนาคตเมื่อมีการเพิ่มหลักฐานที่เป็นประโยชน์มากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายนี้

 

 

แหล่งที่มา Chequeado 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org