ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ความเห็นจากเวทีเสวนาวิชาการต่อข้อกำหนดที่ออกตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ห้ามการเสนอความเห็นหรือข้อมูลอันทำให้เกิดความหวดกลัว ซึ่งนักวิชาการและตัวแทนภาคประชาชนมองว่า รัฐไม่ควรมองการเสนอความเห็นวิพากษ์วิจารณ์เป็นการต่อต้าน แต่เป็นการเสนอแนะเชิงนโยบาย

คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 27 “เมื่อความหวาดกลัวของประชาชนคือภัยในสายตารัฐ” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารมวลชน และกฎหมายมาร่วมให้ความเห็น 

รศ.รุจน์ โกมลบุตร อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีประกาศออกข้อกำหนดตามมาถึง 28 ฉบับ ซึ่งในข้อกำหนดทั้งหมดมีข้อกำหนดฉบับที่ 1 และ 27 เขียนถึงการห้ามเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ จึงเป็นที่มาของการเสวนาในครั้งนี้ โดยสรุปใจความของข้อกำหนด ฉบับที่ 1 คือ การเผยแพร่ข่าวสารอันไม่เป็นความจริง ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการเตือนให้ระงับและแก้ไขข่าว และสามารถดำเนินคดีด้วยพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทบความผิดทางคอมพิวเตอร์ ถ้าเรื่องนั้นไม่เป็นความจริงและทำให้เกิดความหวาดกลัวให้เจ้าหน้าที่ระงับ และเอาผิดทางกฎหมายได้ จนกระทั่งฉบับที่ 27 ที่ต่างจาก ฉบับที่ 1 ตรงที่ ถ้าเป็นความจริงที่มีข้อความอันทำให้เกิดความหวาดกลัวก็อาจผิดได้

“หากลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นว่า 10 ก.ค.มีการประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 27 อีกสองวันต่อมามีการให้สัมภาษณ์รองนายกฯว่าถ้าข่าวที่ออกมาเป็นข้อเท็จจริงก็เสนอได้ ถัดมาอีก 3 วัน องค์กรวิชาชีพสื่อออกแถลงการณ์ให้ทบทวนเพราะมีปัญหาเรื่องดุลยพินิจ อย่างเรื่องความกลัว ต่อมามีการประกาศฉบับที่ 28 ต่อมาก็เกิดกระแสคอลเอาท์ ตามมาด้วยการออกมาบอกว่าการเคลื่อนไหวของศิลปินและอินฟูลเลนเซอร์เป็นการผิดกฎหมาย เวทีนี้ต้องการมาคุยกันว่า ข้อกำหนดที่ออกมา มีผลทั้งทางสังคมและการสื่อสารอะไรบ้าง”

 

ด้าน นายสุรศักดิ์ บุญญานุกูลกิจ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ข้อกำหนดที่ออกตามพ.ร.ก.ซึ่งกระทบต่อสิทธbเสรีภาพมี 2 ฉบับ คือฉบับที่ 1 และฉบับที่ 27 ขอเจาะที่ข้อกำหนดฉบับที่ 27 ข้อ 11 เกี่ยวข้องกับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อสารมวลชน การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจพิเศษ เพื่อออกข้อกำหนดมาจัดการกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ข้อกำหนดฉบับที่ 27 มีบทบัญญัติกว้างและอาจเกิดปัญหาการตีความ ทำให้นำไปใช้กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 โดยตรง แต่ไปห้ามการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล การออกข้อกำหนดโดยหลักการควรจะมีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ แต่ข้อกำหนดที่เขียนเป็นการลอกมาจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน การใช้ถ้อยคำกว้างๆ ทำให้ตีความไปได้หลายแบบ ตัวข้อกำหนดยังไม่กำหนดขอบเขตให้ชัดถึงช่องทางในการเผยแพร่ ที่ระบุถึง การเผยแพร่ใน “สื่ออื่นใด “ ที่อาจหมายรวมถึงสื่อโซเชียล หรือดิจิทัล สิ่งที่เป็นประเด็นและเป็นปัญหามีการใช้คำว่า ‘ที่มีข้อความที่ทำให้เกิดความกลัว’ โดยไม่ได้ระบุว่า ข้อความ เป็นข้อความที่เป็นเท็จ หรือข้อความที่เป็นจริง

“คำที่มีความหมายกว้างทำให้กินความได้ทั้งความจริงและความเท็จ การเขียนกฎหมายเพื่อใช้กับสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ควรใช้ถ้อยคำที่กว้างขนาดนี้ การที่เปิดถ้อยคำทางกฎหมายที่กว้างอาจทำให้เกิดการใช้กฎหมายโดยบิดเบือนมากขึ้น มาตรการแบบนี้อาจะนำไปใช้ในการสร้างการผูกขาดช้อมูลหรือปิดกันข้อมูลที่รัฐไม่อยากให้รู้ ผลของข้อกำหนดทำให้ให้เห็นว่ารัฐบาลเลือกใช้มาตรการทางอาญามาจัดการกับการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์”

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญได้รับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นการพูดการเขียน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีจุดมุ่งหมายป้องกันการระบาดและสกัดกันการระบาด ดังนั้นการใช้เครื่องมืออะไรของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการระบาดและสกัดกั้นการระบาด การห้ามเผยแพร่ข้อความ0tช่วยสกัดกั้นการระบาดได้อย่างไง รัฐกำลังใช้ความหวาดกลัวในการจัดการโรคระบาดมากเกินไป รัฐควรใช้มาตรการที่กระทบสิทธิของประชาชนน้อยที่สุด ยังมีมาตรการอื่นที่ไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ภาพคนเสียชีวิตกลางถนนทำให้คนเกิดความกลัวระมัดระวังตัวมากขึ้น การตีความกฎหมายเพื่อนำมาใช้ต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์และเจตนารมย์ของกฎหมาย และต้องตีความให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ การตีความควรให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของกฎหมายเพื่อจัดการกับการระบาดที่สุดมากกว่า

 

นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จาก iLaw กล่าวว่า วิธีการทำความเข้าใจข้อกำหนดทั้ง 28 ฉบับต้องอ่านหลายฉบับประกอบกัน หากอ่านฉบับเดียวไม่มีทางเข้าใจ การทำความเข้าใจข้อกำหนดฉบับที่ 27 ต้องอ่านย้อนตั้งแต่ฉบับ 1 ถึง 26 แม้ไม่มีข้อกำหนดฉบับที่ 27 ก็มีกฎหมายอื่นเพื่อจัดการกับการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง มีพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ถ้ามีการเสนอข่าวเท็จที่ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว สามารถใช้บทบัญญัติมาตรา 14 (2) จัดการได้

“ข้อกำหนดฉบับที่ 27 ข้อ 11 เป็นระบบกฎหมายที่สับสน ที่เรามีกฎหมายแบบนี้ได้เพราะเราใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจจะอ้างว่ามีคามจำเป็นเร่งด่วนต้องทำทันที แต่เมื่อเวลาผ่านมากว่า 2 ปี ควรจะทบทวนหรือเขียนกฎหมายออกมาใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน ไม่ใช่เอามากฎหมายที่ใช้บังคับในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์ฉุกเฉินระดับที่มีสงครามเกิดขึ้นมาใช้ ถ้าตั้งหลักกันได้ควรกลับไปใช้กฎหมายที่มีมาจัดการสถานการณ์”

 

ขณะที่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Cofact Thailand กล่าวว่า ในมุมของประชาชน ความตื่นตระหนกมันไปไกลมากแล้ว รัฐบาลคงไม่สามารถออกประกาศอะไรออกมาเพื่อทำให้คนตื่นตระหนกน้อยลงได้ ประชาชนรู้สึกว่าสถานการณ์มันเกินกว่าจะตื่นตระหนก แต่กลับมาดูแลตัวเองว่าจะจัดการอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีประสบการณ์ จนเป็นความจริงเชิงประจักษ์ของตัวเอง

น.ส.สุภิญญากล่าวว่า การแสดงออกเป็นความรู้สึกของประชาชนที่ประสบแล้วต้องการแสดงออก สถานการณ์ปัจจุบันอาจจะดูว่าผู้คนพากันเฉยๆ แต่จริงๆ คือความอึ้งกับสถานการณ์ การจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐผิดพลาดมาโดยตลอด สถานการณ์เช่นนี้ประชาชนยอมให้รัฐบาลใช้อำนาจพิเศษได้ แต่ควรเป็นวิธีที่ส่งตรงถึงประชาชนโดยตรงทันที ทันท่วงที สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่า เรื่องที่ต้องจริงจังไม่มีการประกาศให้ชัดเจน ประกาศสำคัญมักมีการประกาศในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ หรือกลางดึก ซึ่งประชาชนไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผลของความไม่ชัดเจน คือ ความโกลาหลเชิงข่าวสาร ทำให้เกิดความปั่นป่วน

“หัวใจสำคัญที่ทำให้ไม่เกิดความกลัว ไม่ใช่การออกกฎหมายบังคับไม่ให้แสดงความคิดเห็น แต่ควรจะเป็นวิธีการทำให้คนรู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันข่าว ไม่ใช่ออกกฎหมายมาควบคุมการเสนอข่าว ถ้ารัฐเห็นความสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมรัฐควรทำแคมเปญรณรงค์ไปเลย การเอากฎหมายมาปิดปากไม่ใช่ทางออกที่จะสู้กับข่าวในโซเชียล ทางออกที่ดีคือที่ประเทศอื่นทำกันถ้าคิดว่าข่าวในโซเชียลมีปัญหาคือ ทำ Socialmedia Distansing ถ้าเราต้องการข้อเท็จจริง เราต้องการเสรีภาพของสื่อ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ยิ่งปิดกั้นเท่าไหร่คนก็ยิ่งอยากแสดงออกยิ่งอยากรู้ ถ้าไปปิดกันก็ยิ่งกระทบกับความน่าเชื่อถือ ควรไปแก้ปัญหาแล้วให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้จะดีกว่า การแสดงออกมาอย่างสุดโต่ง แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีทางออก การไปปิดกั้นจะยิ่งทำให้เกิดแรงต้านขึ้นในสังคม รัฐความทำ Open data Open Government ไปเลย” น.ส.สุภิญญากล่าว

ด้านผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์ประจำ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันควรชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อประชาชนน้อยลง และเมื่อชี้แจงแล้วประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย และมีการใช้กฎหมายปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ขอนิยามสถานการณ์ในช่วงนี้ว่า การจัดการความหวาดกลัวของรัฐบาลด้วยการกำกับสื่อในยุคดิจิทัล การออกข้อกำหนดที่ 28 แม้สื่อจะไม่มีอาการออกแต่เชื่อว่าในกองบรรณาธิการ คงต้องมีกระบวนการในการเซนเซอร์เนื้อหาบางส่วนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ

“ข้อกำหนดที่รัฐบาลประกาศสร้างความหวาดกลัวให้กับทั้งสื่อและประชาชน สะท้อนให้เห็นว่า เสียงประชาชนยังเป็นเสียงที่ดังและมีพลัง สามวันที่ผ่านมา มีคอลเอาท์ กับเฟคนิวส์ ในฐานะนักวิชาการ รู้สึกว่าท่าทีของรัฐกำลังใช้วิธีการกำกับที่ไม่ประสบความสำเร็จ สมัยก่อนพอมีการปฎิวัติจะมีการเชิญสื่อไปรับฟังแนวทางในการเสนอข่าว พอมีอินฟูลเลนเซอร์เข้ามา ล่าสุดหลังประกาศฉบับที่ 28 มีการเชิญอินฟูลเอนเซอร์ไปฟังด้วย”

ผศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าวสรุปว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของรัฐคือเรื่องการสื่อสาร ถ้ารัฐปรับท่าทีอย่ามองว่าสื่อหรือประชาชนเป็นฝ่ายตรงข้ามทุกอย่างจะดีขึ้น ต้องยอมรับว่าภาคประชาชนเข็มแข็งขึ้นมาก ขอยืนยันว่า การคอลเอาท์ไม่ใช้สิ่งที่ผิดแต่เป็นวิธีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมซึ่งยังไม่มีข้อยุติเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อาจจะนำไปสู่การเป็นนโยบายทางสังคม อยากให้รัฐเข้าใจและทำความเข้าใจอย่าไปมองว่าผู้ที่เคลื่อนไหวกำลังทำความผิด