ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ร้อง สธ. หลังพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) ถูกลดสัญญาจ้างเหลือ 1 ปี จากเดิม 4 ปี ด้าน “รองปลัดฯสุระ” แก้สัญญาวันนี้! ให้ทันต่อสัญญา 1 ต.ค. เหตุหากเป็นกลุ่มจ้างเดิม 4 ปี ต้องตามเดิม ส่วนสาเหตุคำสั่งลดสัญญาจ้าง อาจเพราะกลุ่มทำกรอบอัตรากำลังกังวลเรื่องระเบียบ พกส. ล่าสุดพิจารณาแล้วไม่กระทบ เนื่องจากเป็นการจ้างกรอบเดิม ไม่ใช่ขยายคนใหม่

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 ก.ย.2564 นายโอสถ สุวรรณ์เศวต ประธานสหภาพลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย(สลท) และนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) และเลขาธิการสมาพันธุ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)ยื่นหนังสือเรียกร้องขอคัดค้านและไม่เห็นด้วยในหนังสือคำสั่งการต่อสัญญาจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุข จาก 4 ปี เหลือ 1 ปี โดยขอให้ทบทวนใหม่ โดยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมช.สธ.) รับเรื่องด้วยตนเอง พร้อมด้วย นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) โดยได้หารือร่วมกันประมาณ 1 ชั่วโมง

นายโอสถ กล่าวว่า ในสถานการณ์การเกิดโรคระบาดของโรคโควิด19 ที่มีความรุนแรงในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา พนักงานกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นสายสนับสนุนบริการ มีบทบาทหน้าที่การทำงานปฏิบัติงานอย่างหนักหน่วงมาตลอด เสียสละอย่างมาก ไม่แตกต่างจากวิชาชีพอื่นๆ แต่ปรากฎว่าเมื่อมีการสร้างขวัญกำลังใจให้กับบุคลากร กลับไม่มีกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขหรือพกส. ที่ทำงานสายสนับสนุน อีกทั้ง ที่ได้รับ คือ การลดสัญญาจ้างจาก 4 ปี ให้เหลืออายุงานไม่เกิน 1 ปี ทำให้พนักงานกระทรวงฯ ขาดขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ไม่มีความมั่นคง จึงขอให้มีการทบทวน และให้สัญญาจ้างเป็น 4 ปีตามเดิมได้หรือไม่ ตอนนี้คนทำงานหน้างานถูกบั่นทอนขวัญกำลังใจจนหมดสิ้นแล้ว

“ปัจจุบันพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ทำงานด่านหน้าสู้โควิดไม่แตกต่างจากวิชาชีพอื่นๆ แต่เมื่อถูกลดสัญญาเหลือ 1 ปี นอกจากบั่นทอนขวัญกำลังใจแล้ว ที่สำคัญมีผลต่อการกู้เงินสหกรณ์ อย่างใครจำเป็นต้องใช้เงินจะทำอย่างไร เพราะแค่เงินเดือนก็ไม่เพียงพอแล้ว และเมื่อสัญญาเหลือ 1 ปี ก็ทำให้ไม่มั่นคง การจะขอกู้อะไรก็ลำบาก สวัสดิการอะไรก็น้อยนิด ดังนั้น วันนี้จึงมาขอความเห็นใจให้ทางผู้ใหญ่กระทรวงฯ ช่วยเหลือพวกเราชาวกระทรวงสาธารณสุข” นายโอสถ กล่าว และว่า นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการเพิ่มค่าจ้าง 1% ของค่าจ้างสำหรับผู้ปฏิบัติงานโควิด แต่ปรากฎว่าอยู่แผนกเดียวกันในรพ. ได้มอบหมายงานเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้ทุกคน จึงต้องมาขอความเป็นธรรมเรื่องนี้เช่นกัน

นายสาธิต กล่าวว่า วันนี้ท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสธ. ได้มอบหมายให้ตนมารับข้อมูล ซึ่งเดิมมีการปรับสัญญาจ้าง เหตุเพราะจะมีการขออัตรากรอบกำลังเพิ่มเติม แต่ท่านสุระ รองปลัดสธ. ได้มีการพิจารณาความสัมพันธ์เรื่องกรอบอัตรากำลัง อายุงาน และการต่อสัญญาจ้าง ที่ต้องเสนอไปยังกระทรวงการคลังนั้น อาจไม่ต้องพิจารณาร่วมกัน ดังนั้น หากไม่กระทบต่อการขออัตรากำลังเพิ่ม และไม่เกี่ยวกับอายุงานก็สามารถใช้อัตราคนเดิมที่จ้างไว้ก่อนแล้ว และให้จ้างเป็น 4 ปีได้ ยกเว้นคนใหม่ที่จ้างใหม่ต้องจ้างตามกรอบ 1 ปีเท่านั้น ซึ่งที่ประชุมท่านรองสุระ จะรับไปดำเนินการในการแก้ไขประกาศต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้บุคลากรในกระทรวงมาเรียกร้องเรื่องอื่นๆหรือไม่ เพราะเรื่องนี้สามารถทำได้ นายสาธิต กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้หมด เพราะทุกอย่างต้องเป็นเหตุเป็นผล และมีการสอบถามทางกองบริหารทรัพยากรบุคคลของสำนักงานปลัดแล้ว ดังนั้นตรงนี้ทำได้

ด้านนพ.สุระ กล่าวว่า จากการพิจารณาคนเดิมที่มีการจ้าง 4 ปีและจะครบรอบนี้ก็ให้ต่อสัญญาตามเดิม แต่คนที่จะจ้างใหม่ต้องขอให้เป็น 1 ปีก่อน ดังนั้น คนเก่าที่สัญญาจะมีทั้งเหลืออีก 2 ปี หรือ 1 ปี หรือจะหมด ต.ค.นี้ ยังให้ใช้สัญญาเดิมเหมือนเดิม แต่คนที่หมด 4 ปีตอนนี้ก็ให้ต่อ 4 ปีเช่นเดิม ยกเว้นคนใหม่เป็น 1 ปี

“ส่วนกรณีเพิ่มค่าจ้าง 1% ของค่าจ้างสำหรับผู้ปฏิบัติงานโควิด โดยต้องมีคำสั่งปฏิบัติงาน หากมีปัญหาให้แจ้งผู้ตรวจ เพราะสธ.แจ้งหลักการแล้ว หากมีปัญหาให้แจ้งผู้ตรวจจะพิจารณาช่วยเหลือต่อไป เพราะจริงๆผอ.รพ.ทราบดีอยู่แล้วว่าใครปฏิบัติงาน มีคำสั่งชัด และหากอยู่แผนกเดียวกันโดยหลักต้องได้หมด” รองปลัดสธ. กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการหารือท่านสุระ ได้หารือประเด็นดังกล่าวและกล่าวตอนหนึ่งว่า “กรณีนี้อาจเป็นเรื่องของความกังวลเรื่องระเบียบพนักงานกระทรวงสาธารณสุข แต่จริงๆ การทำกรอบอัตรากำลังใหม่ และเรื่องสัญญาจ้าง โดยเฉพาะการจ้างเดิมไม่น่าสัมพันธ์กัน เนื่องจากหากมีสัญญาจ้างเดิม 4 ปีอยู่แล้วก็ควรให้เป็น 4 ปี ไม่ควรไปลดลง เนื่องจากหากเราขออัตรากำลังกรอบใหม่จะต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่ของเดิมยังมีอยู่ ดังนั้น ของเดิมต้องไม่ไปแตะ ซึ่งใครได้สัญญาแบบไหนก็ต้องเป็นแบบเดิม..” ซึ่งหลังจากท่านรองสุระ กล่าว ทางกลุ่มลูกจ้างฯ ได้ปรบมือเห็นด้วย พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณท่านสาธิต ที่รับฟังและเปิดเวทีให้ได้ปรึกษาหารือเรื่องนี้