ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยใน 10 ชั้น  โรงพยาบาลบึงกาฬ ขยายบริการรองรับผู้ป่วยในจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมย้ำเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 100% เพื่อกลับไปสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พระอาจารย์ปรีดา ฉนฺทกโร เจ้าสำนักวัดป่าดานวิเวก หรือวัดดงศรีชมภู และคณะผู้บริหาร เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยใน 10 ชั้น “ฐิตธัมโม เมตตา” โรงพยาบาลบึงกาฬ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ และให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญในการพัฒนางานด้านสาธารณสุขทุกมิติ

เพื่อให้บริการดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโรงพยาบาลบึงกาฬเป็นโรงพยาบาลขนาด 297 เตียง ให้บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 840 คนต่อวัน ผู้ป่วยใน 237 คนต่อวัน โรคที่พบส่วนใหญ่ในผู้ป่วยใน ได้แก่ ภาวะปอดอักเสบ กระเพาะและลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน การบาดเจ็บที่ศีรษะ และกระดูกแขนหัก ซึ่งนอกจากประชาชนในพื้นที่แล้ว โรงพยาบาลยังให้บริการดูแลรักษาประชาชนในจังหวัดใกล้เคียง และเพื่อนบ้านจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วย จึงต้องมีการขยายหน่วยบริการให้เพียงพอกับจำนวนผู้รับบริการที่เพิ่มมากขึ้น
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มารับบริการและลดความแออัด

โดยอาคารผู้ป่วยใน 10 ชั้น ประกอบด้วย หอผู้ป่วยทั่วไป 7 ชั้น หอผู้ป่วยพิเศษ 2 ชั้น และหอผู้ป่วยสำหรับพระสงฆ์ 1 ชั้น ได้รับเมตตาจาก หลวงปู่ปรีดา ฉนฺทกโร บริจาคเงินในการก่อสร้าง พร้อมสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า จังหวัดบึงกาฬมีการค้าขายเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงาม ได้รับรายงานความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของจังหวัดบึงกาฬ ว่าขณะนี้ฉีดเข็มที่ 1 ร้อยละ 37.72 เข็มที่ 2 ร้อยละ 27.76 เข็มที่ 3 ร้อยละ 0.88 คาดเดือนพฤศจิกายน สามารถฉีดได้ครอบคลุมกว่า ร้อยละ 70 ทั้งนี้ ขอให้ช่วยกันรณรงค์ชวนบุคคลในครอบครัว เพื่อน และบุคคลใกล้ชิด เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ให้ได้ 100% เพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว รวมถึงช่วยเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวบึงกาฬด้วย         
 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org