ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งทำให้รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบออกมาเป็นระยะ แต่ยังมีกลุ่ชนชายขอบอีกหลายกลุ่มซึ่งได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันแต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการเยียวยาช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งยังไม่มีสถานะเป็นคนไทย ทำให้พลาดโอกาสได้รับการช่วยเหลือต่างๆ ที่จำเป็น ไม่ว่าด้านสุขภาพ หรือการช่วยเหลือเพื่อดำรงชีพ

นายอาเจอะ หม่อโปกู่ ผู้ใหญ่บ้านป่าคาสุขใจ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธ์อาข่าเปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้เฒ่าไร้สัญชาติกลุ่มนี้ยังคงรอฟังความคืบหน้าจากกรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย เพราะทุกวันนี้ต่างไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ เนื่อจากไม่มีบัตรประชาชน โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดที่ทำให้สภาพความเป็นอยู่ยิ่งยากลำบากมากขึ้นเพราะข้าวของราคาแพงและลูกหลานก็ตกงานทำให้มีรายได้มาจุนเจือคนเฒ่า ถ้าเป็นไปได้อยากวิงวอนให้กระทรวงมหาดไทยเร่งช่วยพิจารณาให้บัตรประชาชนกับคนเฒ่าไร้สัญชาติกลุ่มนี้เพื่อให้สามารถเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือจากภาครัฐ

บ้านป่าคาสุขใจ มีกลุ่มผู้สูงอายุไร้สัญชาติ ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหาสถานะบุคคล กรณีแปลงสัญชาติชาวเขาและชนกลุ่มน้อย จำนวน 15 คน ซึ่งได้ผ่านการสัมภาษณ์จากคณะทำงานระดับจังหวัดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 และเสนอต่อไปยังกรมการปกครอง มีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองสัญชาติ กระทรวงมหาดไทย ตามมาตรา 25 ของพระราชบัญญัติสัญชาติ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2564 จนถึงขณะนี้ผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้วแต่ยังไม่ทราบความคืบหน้าแต่อย่างใด

นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) อดีตวุฒิสมาชิก จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ไม่ทราบว่าได้มีการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาอนุมัติการแปลงสัญชาติตามมาตรา 12 ของพรบ.สัญชาติแล้วหรือไม่ ซึ่งข้อกังวลคือผู้เฒ่ากลุ่มนี้มีอายุเกิน 70 ปี มีภูมิลำเนาบนแผ่นดินไทยไม่ต่ำกว่า 40 ปี มีความกลมกลืนกับสังคมไทย ลูกหลานล้วนเป็นประชาชนไทย ผู้เฒ่าเหล่านี้ป็นกลุ่มเปราะบาง หลายสิบปีที่ผ่านมาได้ร่วมกันสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศไทย ด้วยการร่วมฟื้นฟูป่าต้นน้ำแม่จัน-แม่สลอง เป็นพื้นที่ป่ากว่า 3,500 ไร่ ในขณะที่เวลานี้แก่ตัวลงกลับยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิความเป็นพลเมืองไทยที่สมบูรณ์ เนื่องจากการแปลงสัญชาติยังไม่สำเร็จ

“จากข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง พบว่ามีผู้สูงอายุที่เป็นชาวเขาและชนกลุ่มน้อย อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป อีกกว่า 110,000 คน ทั่วประเทศไทย ที่มีสิทธิเข้าสู่กระบวนการแปลงสัญชาติ ซึ่งหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เห็นชอบปรับแนวทางประกอบการใช้ดุลยพินิจ เรื่องหลักฐานการมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย โดยใช้หลักฐานการสำรวจทะเบียนราษฎรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทางการออกได้ เช่น ทร.13 และแก้ไขขั้นตอนในกระบวนการแปลงสัญชาติที่ล่าช้า หลายกรณียื่นเรื่องไปมากกว่า 10 ปี ยังไม่รู้ผล จะสามารถทำให้กลุ่มคนเปราะบางเหล่านี้เข้าถึงสิทธิในการมีสัญชาติ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ และไม่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง ในกลุ่มกรณีศึกษานี้ ระหว่างการดำเนินการขอแปลงสัญชาติ มีผู้เฒ่าเสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย หลายรายมีอาการเจ็บป่วย แก่ชราลงเรื่อยๆ ความล่าช้าในแต่ละวันหมายถึงโอกาสที่จะสูญเสียไป” นางเตือนใจ กล่าว

นางเตือนใจกล่าวอีกว่า อีกกลุ่มกรณีศึกษา คือผู้เฒ่าไร้สัญชาติ ชาวกะเหรี่ยง บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ อายุ 70-80 ปี เช่นกัน เป็นกลุ่มชาวเขาดั้งเดิม อยู่ในหมู่บ้านห่างไกล การคมนาคมยากลำบาก ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีหลักฐานว่าได้รับการสำรวจจากทางราชการ แม้ว่าจะเป็นชาวเขาดั้งเดิม เกิดและมีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.อมก๋อย มาโดยตลอด เมื่อสอบถามไปยังศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง (เดิม คือ ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา) จ.เชียงใหม่ ทราบมาว่าเอกสารทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้าน ของกรมประชาสงเคราะห์ ช่วงปี 2528-2530 สูญหายไปทั้งหมดเนื่องจากไฟไหม้และการย้ายสำนักงาน จึงทำให้ผู้เฒ่ากลุ่มนี้ ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎร ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลาง พ.ศ.2543

“ได้วางแผนว่าจะประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยจะขอให้มีการตรวจ DNA กับผู้ซึ่งมีบัตรประชาชนไทยแล้ว น่าจะเป็นแนวทางที่ดีและใช้เวลาสั้นที่สุด เพราะเวลาของผู้เฒ่าเหล่านี้เหลือไม่มากแล้ว” นางเตือนใจกล่าว

ด้าน รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยนางเตือนใจและ ดร.ศิวนุช สร้อยทอง แห่งคลินิกกฎหมาย ได้เดินทางเข้าไปขอคำปรึกษาจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยหนึ่งในหัวข้อที่ได้ปรึกษาคือปัญหาเรื่องคนเฒ่าไร้สัญชาติที่กระบวนการในการแปลงสัญชาติให้คนกลุ่มนี้มีความล่าช้ามาก และนายมีชัยได้ให้คำแนะนำในหลายประเด็น เช่นให้ติดตามดูว่ามีขั้นตอนใดบ้างที่ใช้เวลามากเกินสมควร

“ท่านเข้าใจปัญหาของผู้เฒ่ากลุ่มนี้มาก เพราะเป็นกลุ่มคนที่เปราะบาง ท่านถามถึงความล่าช้าเกิดจากอะไร และบอกให้เราทำจดหมายถึงอธิบดีกรมการปกครองหรือส่วนราชการ หากมีข้อติดขัดเป็นปัญหาที่กฎหมายก็ให้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกา” รศ.พันธุ์ทิพย์ กล่าว

เรื่องที่เกี่ยวข้อง