ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองนายกฯ -รัฐมนตรีว่าการสธ. ลั่นยังไม่ผ่อนคลายมาตรการ ส่วนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นยังอยู่ในสถานการณ์ควบคุมได้ เมื่อเทียบป่วยหนักและเสียชีวิต ขณะนี้อัตราตาย 0.22% เตรียมพร้อมวัคซีนรองรับคนยังไม่ฉีดเข็ม 1 อาจเปลี่ยนใจควบคู่ฉีดบูสเตอร์ พร้อมขอบคุณคนไทยให้ความร่วมมือดีมาตลอด บางทีอาจไม่ถูกใจ แต่ก็มาฉีด เพราะมั่นใจมาตรฐานและประโยชน์

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 ก.พ.2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์การติดเชื้อโควิด “โอมิครอน” ที่พบผู้ป่วยรายวันเกินหมื่นราย ว่า โอมิครอน เป็นสายพันธุ์ติดเชื้อง่าย แต่ความรุนแรงไม่มากเท่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา ดังนั้น สิ่งจำเป็นที่สุดคือ มารับวัคซีน ปัจจุบันรับได้มากแล้ว และขณะนี้กำลังเริ่มฉีดเข็มบูสเตอร์ จึงขอวิงวอนคนที่ยังไม่ได้ฉีด แต่ถึงเวลาแล้ว ขอให้มารับวัคซีน และขอให้ระมัดระวังตัวเอง เพราะที่ติดเชื้อกันมาก ส่วนใหญ่ยังมาจากการสังสรรค์ การรวมตัวกันในคนหมู่บ้าน ขอให้พยายามมากที่สุด หลีกเลี่ยงอยู่ร่วมกันเป็นเวลานาน และหากอยู่ในที่แออัด มีคนจำนวนมากก็ใส่หน้ากากอนามัยสองชั้นได้

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มีวัคซีนอยู่แล้ว แม้มีจำนวนคนติดเชื้อเพิ่ม แต่คนอาการหนัก คนเสียชีวิตเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ถือว่าน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ติดเชื้อ 3-4 พันคนต่อวัน จำนวนผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตก็เท่านี้ ในขณะที่วันนี้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตยังไม่เปลี่ยนแปลง

00 ยังไม่ผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติม!

เมื่อถามว่าในการประชุม ศบค. จะมีการการผ่อนคลายมาตรการเพิ่มหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ทราบยังไม่มี วันนี้เห็นพาดหัวข่าว ว่าจะมีการผ่อนคลายแบบจัดเต็ม แต่จริงๆไม่ใช่ วันนี้ยังมีการติดเชื้ออยู่ อาจมีการปรับปรุงรูปแบบการรายงาน ซึ่งเป็นรูปแบบการรายงานตามสากล เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและใช้ชีวิตตามสถานการณ์เช่นนี้ได้

00 สถานการณ์โอมิครอนยังควบคุมได้ เสียชีวิต 0.22% น้อยกว่าระบาดที่ผ่านมา

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ได้มีการติดตามต่อเนื่อง และมีมาตรการต่างๆ ซึ่งยังเป็นสถานการณ์ที่ยังควบคุมได้

เมื่อถามว่าจำนวนผู้ป่วยโควิดที่เสียชีวิตต้องมีจำนวนเท่าไหร่ ถึงถือว่าน่ากังวล นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า จริงๆ เดิมเราเคยมีอัตราการเสียชีวิตตั้งแต่ 2% ขึ้นไป และค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ ขณะนี้เสียชีวิตต่ำกว่า 1% โดยหากเทียบตัวเลขผู้ป่วยต่อผู้เสียชีวิตขณะนี้ประมาณ 0.22% ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการทั้งหมด

“ในเรื่องของวัคซีนป้องกันโควิด พบว่า เข็ม 2 เมื่อฉีดไประยะเวลาหนึ่งภูมิคุ้มกันจะลดลง จึงจำเป็นต้องมีการฉีดเข็ม 3 โดยตั้งเป้าหมายว่า เข็ม 1 และ 2 น่าจะได้ 80% ส่วนเข็ม 3 หากได้ประมาณ 80-90% ของเข็มสองก็จะดีมาก ต้องอยู่ที่ประมาณ 70-80% เช่นเดียวกัน ก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี

นายอนุทิน กล่าวเสริมว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานเข้ามา ได้มีการติดตามสาเหตุพบว่าเกี่ยวข้องกับการรับวัคซีน กลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งรับรายงานมากกว่า 80%โดยเฉลี่ยเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีน และเป็นผู้อยู่ในกลุ่ม 608 จึงแสดงให้เห็นว่า หนทางที่จะทำให้ทุกคนปลอดภัยยังมีอยู่ อย่างสถานการณ์ประเทศอื่นๆทั่วโลกจะพบว่าผู้ติดเชื้อมีมากกว่าประเทศไทย แม้จะเทียบอัตราส่วนประชาการแล้ว ถือว่าไทยยังควบคุมได้ดี เพราะคนไทยให้ความร่วมมือด้วย และเรายังต้องการความร่วมมือมากกว่านี้ เรื่องวัคซีนจึงสำคัญ จึงขอให้ช่วยกันไปรับวัคซีน ส่วนรัฐก็มีมาตรการต่างๆ

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยหนักชัดเจนว่า อัตราครองเตียงน้อยกว่าสมัยก่อนมาก อัตราความพร้อมของสถานพยาบาล ยาก็มีเต็มที่ แม้จะป้องกัน 100% ไม่ได้ แต่เราก็พยายามช่วยให้คนไม่ป่วยหนัก ไม่เสียชีวิต และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มากกว่า 85% ไม่แสดงอาการหนัก เรามีระบบ HI ด้วยประสบการณ์ในอดีตเราเตรียม HI แต่แรกเลย ซึ่งเราไม่สามารถไปบอกล็อกดาวน์ หรือบังคับอะไรได้ แต่ตอนนี้เหลือแต่ผับ บาร์ คาราโอเกะเท่านั้นที่ยังไม่ให้เปิด เพราะฉะนั้น หากเราสามารถให้ความร่วมมือต่อไป อย่ารวมกลุ่มกันในคนหมู่มากเกินไป ระมัดระวังตัวเองตลอดเวลา ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้

00 “อนุทิน” ชูทูตสหรัฐชื่นชมมาตรการไทย โปร่งใส

ทั้งๆที่มีโอมิครอนเหมือนต่างประเทศ นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อสักครู่ท่านทูตอเมริกัน (นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ) พูดชัดเจนว่า สิ่งที่ประเทศไทยทำให้นานาชาติได้เห็นชัดเจนที่สุด และเชื่อมั่นมากที่สุด คือความโปร่งใสในการให้ข้อมูลแก่สาธารณชน โดยเฉพาะในเรื่องโควิด ดังนั้น คำพูดว่า ไม่ตรวจ ตรวจน้อย ตรวจไม่พอก็ไม่ใช่ประเด็น เราก็ตรวจไม่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ มาตรการเราเข้มกว่าเขาด้วย ทุกวันนี้ทูตหลายประเทศก็ติดต่อมาว่า ทำไมเข้มขนาดนี้ ขอให้ผ่อนคลาย บางประเทศบอกถ้าเราเข้มขนาดนี้เขาก็จะใช้มาตรการเดียวกับเรา เราก็ต้องยืนหยัดหนทางที่เราเชื่อว่าจะทำความปลอดภัยมากที่สุด

เมื่อถามว่าต้องมีการถอดบทเรียนหรือไม่ สถานการณ์โอมิครอนระบาดทั่วโลก แต่ไทยติดเชื้อยังไม่พุ่งกระฉูด นายอนุทิน กล่าวว่า นี่ก็กระฉูดแล้วจากป่วย 3 พันรายเป็นหมื่นราย ตอนนี้หมอก็จะบ้าแล้วนะ ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร ต้องพูดคำเพียว

00 “อนุทิน”ขอบคุณคนไทยร่วมมือดี แม้บางทีอาจไม่ถูกใจ วัคซีนไม่ตรงตามความต้องการ

“ขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดีมาตลอด บางทีอาจไม่ถูกใจท่าน วัคซีนอาจไม่ตรงตามที่ท่านต้องการ แต่ท่านก็มาฉีด เพราะเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจัดวัคซีนที่มีประโยชน์ มีมาตรฐานแน่นอนให้กับท่าน ท่านใส่หน้ากากอนามัยไปแทบทุกที่ ถ้าเทียบประเทศเรากับประเทศอื่นไม่มีคนไหนใส่หน้ากากอนามัยได้มากเท่าคนไทย ตอนนี้เหลือแค่ในช่วงที่ถอดหน้ากากอนามัยจะทำอย่างไรให้ระมัดระวังมากที่สุด ตอนใส่ และรับวัคซีนแล้วยังไงก็ปลอดภัย แต่ตอนอยู่บ้าน อยู่กับผู้สูงอายุ ต้องระวังให้มาก เพราะเขาอาจไม่แข็งแรงเท่าเรา ตรงนี้เป็นอีกกลุ่มที่ทางการแพทย์จะไปเข้มงวดมากเป็นพิเศษ” นายอนุทิน กล่าว

00 วัคซีนมีพอ ไม่ได้สต๊อกปีหน้า แต่ไว้ใช้หมุนเวียนแต่ละรอบ และไว้สำหรับคนยังไม่ฉีดที่อาจเปลี่ยนใจ

เมื่อถามเรื่องการบริหารวัคซีน นายอนุทิน กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนเราทำเต็มนี้ ตอนนี้ยังไม่มีตระกูลใหม่ออกมา ผู้ผลิตวัคซีนก็ยืนยันว่า ขอให้ใช้บูสเตอร์โดส ซึ่งเป็นสูตรที่มีอยู่แล้ว อย่างแอสตร้าฯ จะทยอยส่ง 60 ล้านโดส ไฟเซอร์ทยอยอีก 30 ล้านโดส เราไม่ได้สต๊อกเพื่อเก็บใช้ปีหน้า เราสต๊อกใช้ให้เพียงพอหมุนเวียนในแต่ละรอบ เพราะยังมีอีกเป็นแสนคน ที่ยังไม่ได้ฉีดเข็ม 1 แต่ยังไงเขาก็จะมาฉีด เพราะเขาอาจเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ว่า ก็ดีและจะเข้ามาฉีด ซึ่งเข็ม 2 ก็ต้องเตรียมไว้ และมาเข็ม 3 และ 4 จึงต้องมั่นใจว่าไม่ขาด และน่าจะบริหารจัดการได้ดีกว่าช่วงแรกๆ ยิ่งเมื่อได้รับความร่วมมือการฉีดเข็ม 1 เข็ม 2 เมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว และตอนนี้อธิบดีกรมควบคุมโรคก็จะต้องบริหารจัดการในส่วนการฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ซึ่งต้องบริหารจัดการเรื่อง 2 โดสอยู่ ต้องมีการวางคิว บริหารจัดการให้ดี ไม่ให้ขาด ซึ่งเราเตรียมพร้อมรองรับแล้ว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org