ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อธิบดีกรมการแพทย์ย้ำ! รักษาโควิดระบบ HI หรือ CI หรือฮอสพิเทล ไม่ได้แตกต่าง เหตุมาตรฐานทางการแพทย์เหมือนกัน ยืนยัน HI และ CI มีรองรับรวม 1 หมื่นเตียง เตรียมปรับไกด์ไลน์จำนวนวันรักษาผู้ป่วยลดจาก 10 วัน พร้อมเตรียมรูปแบบ Hotel Isolation รองรับคนกทม.อีก

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 ก.พ. 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงเกณฑ์เข้ารับการรักษาของผู้ป่วยโควิดที่มีภาวะฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารักษาในรพ.ได้ทุกแห่ง ว่า ขณะนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กำลังพิจารณาเกณฑ์ยูเซปพลัส สำหรับโควิด19 โดยการพิจารณาหลักๆ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการรุนแรง ถือว่าเป็นสีเหลือง ต้องใช้ออกซิเจน ไม่ว่าจะเป็นออกซิเจนใส่ทางจมูก หรือแคนนูลา (Oxygen Nasal Cannula)หรือออกซิเจนไฮ โฟลว์ (Oxygen High Flow)แต่หากใส่ท่อช่วยหายใจจะเป็นสีแดง สามารถเข้ารักษาที่ไหนก็ได้

“แต่ตอนนี้มีการเพิ่มเกณฑ์อีกอัน คือ สีเหลืองจะเป็นผู้ป่วยสีเขียว แต่มีโรคร่วมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคกระเพาะและเจอเลือดออกในกระเพาะ ซึ่งเจอมาก ที่รพ.ราชวิถี เจอว่า มีเลือดออกในกระเพาะเมื่อมารพ. จึงได้คัดกรองโควิด และพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ แม้แต่สถาบันประสาทวิทยา และสถาบันทรวงอกก็เจอเช่นกัน ซึ่ง สบส. จะออกเกณฑ์ขึ้นมาว่า ต้องทำอย่างไร สามารถรักษารพ.เอกชนได้ หรือหากไปรักษาสถาบันประสาทฯ แต่ไม่มีเตียงสามารถส่งต่อ รพ.เอกชนได้เช่นกัน” นพ.สมศักดิ์ กล่าว และสรุปคือ อาการสีเขียวไม่มีอาการ แต่มีโรคร่วมจะถือเป็นเหลือง ซึ่งก็จะเข้าข่ายในยูเซปพลัส

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีปัญหาที่พบคือ เจ้าหน้าที่ทั้งของสปสช. 1330 และของกรมการแพทย์ เมื่อโทรคุยกับคนไข้แล้วที่ต้องเข้าระบบ Home Isolation (HI) แต่คนไข้ขอเข้าออสพิเทลก่อน ทั้งๆที่มีการประเมินอาการแล้วเข้าข่ายสีเขียว ดังนั้น ขอความกรุณาคนไข้ หากผ่านการคัดกรองแล้วว่าเข้าระบบ HI หากท่าน HI ไม่ได้ ก็ยังมี Community Isolation (CI) ซึ่งเป็นการรักษาในชุมชน ปัจจุบันยังมีว่างอีกมากในกทม. นอกจากนี้ ยังมี CI เด็กที่รามคำแหงก็ยังว่าง จึงขอทำความเข้าใจตรงนี้ หากทำได้เตียงในรพ.ก็จะไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่า หลายท่านต้องการไปนอนฮอสพิเทล ซึ่งทางต่างจังหวัดปัจจุบันทำ HI และ CI เยอะมาก และส่วนใหญ่คนไข้ในต่างจังหวัดก็ยินดีรักษาใน HI และ CI ปัจจุบันกรุงเทพฯ ยังรับ HI และ CI รวมเป็น 10,000 เตียง จึงยังมีว่างอีกเยอะ

เมื่อถามว่ามีคนไข้บางส่วนร้องว่า รพ.เอกชนบางแห่งพยายามให้เข้าฮอสพิเทล ทั้งที่อาการเข้า HI หรือ CI ได้ นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องทาง สบส. อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถติดต่อสปสช. 1330 ได้ จะจัดระบบ HI ได้ หากประเมินแล้วเข้าข่ายอาการสีเขียว ซึ่งระบบ HI มีแพทย์โทรสอบถามอาการตลอด มีเครื่องมือ มีที่วัดออกซิเจน มีอาหารพร้อม 3 เวลา

เมื่อถามกรณีเด็กป่วยต้องเข้า HI หรือ รพ. นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยเด็ก หากอาการไข้ไม่สูง ไม่ได้หายใจหอบ ให้ติดต่อ 1330 ก่อน ซึ่งจะส่งทีมแพทย์ ส่วนใหญ่เป็นทีมจากกรมการแพทย์ โดยหากเด็กต่ำกว่า 5 ปี จะให้สถาบันเด็ก หรือรพ.เด็กของกรมการแพทย์ รพ.ที่มีกุมารแพทย์ โทรเช็กอาการว่า สามารถทำ HI หรือไม่ หากไม่ได้ จะส่งมายังสถาบันเด็กฯ หรือรพ.เลิดสิน รพ.นพรัตน์ รพ.ราชวิถี ฯลฯ มาคัดกรอง หาก HI ได้ก็ขอให้ทำ แต่หากไม่ได้ก็จะเข้าการรักษาในรพ. ซึ่งจริงๆ ใน HI เราจะมีการติดตามตลอด และยังให้พ่อแม่อัดคลิปวิดีโอของลูกไว้ด้วย เพื่อให้ปรึกษาเรา เราคำนึงความปลอดภัยเด็กเป็นสำคัญ

อธิบดีกรมฯ กล่าวย้ำว่า การดูแลผู้ป่วย HI และ CI รวมทั้งฮอสพิเทล ไม่แตกต่างกันในการดูแลทางการแพทย์ แต่หากความสบายยอมรับว่า มี แต่ช่วงนี้เราต้องเอาความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ความสบาย อีกหน่อยหากยกเลิกยูเซปโควิด ส่วนของฮอลพิเทลก็จะไม่มาก และการไปครองเตียงในรพ. จะทำให้ผู้ป่วยอื่นๆที่ต้องเข้ารพ. ที่ไม่ใช่โควิดได้รับผลกระทบไปด้วย

“ ไกด์ไลน์ในการดูแลผู้ป่วย HI และ CI ยังเหมือนเดิมอยู่ที่ 10 วัน แต่ขณะนี้กำลังมีการพิจารณาไกด์ไลน์ใหม่ คาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งจะน้อยลงจากเดิม 10 วัน ส่วนจะมีการเพิ่มตรวจ ATK ก่อนออกจากการรักษาหรือไม่ ขอดูไกด์ไลน์ใหม่ก่อน” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะมีการเพิ่มรูปแบบ Hotel Isolation อย่างไร นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันก็มีอยู่ อย่างกรณีคนติดเชื้ออาศัยในคอนโดมิเนียมคนเดียว และยินดีทำ HI แต่นิติบุคคลคอนโดฯ ไม่ให้ และติดการเข้าอยู่ CI จึงมีการพูดคุยรูปแบบนี้ อย่างไรก็ตาม Hotel Isolation แตกต่างจากฮอลพิเทล ตรงฮอลพิเทล มีบุคลากรทางการแพทญ์ แต่ Hotel Isolationก็เหมือนกับ HI และ CI จึงขอความกรุณาทุกคอนโดมิเนียมเรื่องนี้ด้วย

“ในระบบ CI บางท่านก็ไม่สะดวก เพราะบางแห่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ ซึ่งก็เข้าใจ ขณะนี้ได้หารือร่วมกับกทม. ในการปรับเรื่องนี้” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org