ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

"สาธิต" พร้อมผู้บริหาร สบส. เปิดตัวโครงการชุมชนวิถีใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19 หนุนชุมชนจัดการตนเอง พร้อมหนุนฝึกอาชีพออนไลน์ สร้างรายได้ให้ผู้กักตัว ล่าสุดมีผู้สนใจเข้ามาถึง 2,229 ชุมชน ยังมีชุมชนต่างด้าวอีก 2 แห่งเข้าร่วม

เมื่อวันที่  18 ก.พ.2565 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการชุมชนวิถีใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19: สานพลัง อสม. จิตอาสา ประชาชน ร่วมใช้ระบบปฏิบัติการตัดตอนวงจรโควิด 19 “หยุดความชะงักงัน สู่การกักกันตัวอย่างมีรายได้” และกิจกรรมส่งมอบทุนหมุนเวียนสนับสนุนพื้นที่ขยายผลดำเนินงาน โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)  ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารหน่วยงานเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

 นายสาธิต ให้สัมภาษณ์ว่า โครงการนี้เกิดจากหลักคิดว่า การกักตัวช่วง 10  วันจะทำอย่างไรให้เกิดอาชีพ เกิดรายได้ และให้เอกชนไปซื้อมา ดังนั้น ผู้ติดเชื้อไม่ว่ากักตัวที่บ้านหรือที่โรงแรม หากเข้าร่วมโครงการนี้ จะมีแพลตฟอร์มไปสอนให้คนกักตัวมีการอาชีพและมีรายได้ ซึ่งจะเริ่มจากหลักสูตรของการทำร้านค้าออนไลน์ ซึ่งจะสอนตั้งแต่การจดทะเบียนการค้าออนไลน์ การขายผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์ ระบบบัญชี ซึ่งจะได้รับส่วนแบ่งการขาย หรือกรณีในชนบทมีการสอนฝึกอาชีพ เช่น ผลิตใบจากเป็นหลังคาบ้าน ฝึกวิชาชีพที่หลากหลาย ขึ้นกับพื้นที่ไหนจะสอนวิชาอะไร ทำให้มีรายได้ได้ อย่างไรก็ตาม พอหลังจากการกักตัวหากทำสำเร็จต่อ ก็เปิดร้านค้าออนไลน์นั้นต่อได้ โดยอาจเปลี่ยนสินค้า แต่ใช้หน้าร้านออนไลน์เดิม เช่น ขายปลาร้าสับ ขายอะไรก็แล้วแต่ ให้เขามีร้านค้าออนไลน์ได้

"เป็นการสอนทำระบบร้านค้าออนไลน์ ซึ่งตอนนี้การขายออนไลน์เป็นที่นิยมมาก เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่จะฝึกให้คนกักตัวมีอาชีพ หรืออาชีพอื่นๆ ด้วยที่จะผลิตหลักสูตรขึ้นมาเพื่อไปสอน" นายสาธิตกล่าว

ถามถึงหลักเกณฑ์ผู้กักตัวที่จะเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพ ทำร้านค้าออนไลน์ ต้องเป็นผู้ที่ตกงาน ไม่มีงานหรือไม่  นายสาธิตกล่าวว่า ขึ้นกับความสมัครใจ หากสนใจก็เข้ามา แต่เราไม่ได้บังคับ เพราะถ้าไม่ได้สนใจเขาก็ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นเครื่องมือสำคัญให้คนกักตัวใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทุกนาที ทุกชั่วโมง เป็นประโยชน์สำหรับเขาเอง เป็นการสร้างอาชีพ เราให้เบ็ดไม่ได้ให้ปลา

นายสาธิต กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไข คือ ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องร่วมทำระบบสอบสวนโรคด้วย ซึ่งจะมีช่องทางให้ เพื่อตัดตอนวงจรแพร่ระบาด หากสมัครเข้าร่วมโครงการและลงข้อมูลได้ครบถ้วน จะเป็นประโยชน์ในแง่สอบสวนโรค เช่น ให้ข้อมูลผู้ที่สัมผัสกับเรา เป็นต้น ทำให้มีไทม์ไลน์เพื่อไปเตือนผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เป็นต้น ซึ่งต้องขอให้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงด้วย

เมื่อถามว่ามีการนำร่องแล้วกี่ชุมชนแล้ว นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ขณะนี้เราขยายโครงการไป มีผู้สนใจเข้ามาถึง 2,229 ชุมชน ยังมีชุมชนต่างด้าวอีก 2 แห่งเข้ามาด้วย

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org