ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมอนามัยเผยเด็กปฐมวัยติดเชื้อสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ติดเชื้อ 6 พันกว่าราย พร้อมเปิดผลสำรวจข้อกังวลและพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด พบสนใจประเมินความเสี่ยงเพียง 28%  หรือไม่ถึง 1 ใน 3 เป็นเหตุให้ประมาท จนอาจรับเชื้อไม่แสดงอาการและติดลูกหลานในบ้าน

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2565  ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวการดูแลป้องกันเมื่อเด็กปฐมวัยติดเชื้อโควิด 19 ว่า ขณะนี้แนวโน้มการติดเชื้อโควิด 19 กำลังสูงขึ้น ซึ่งในกลุ่มเด็กปฐมวัยอายุ 0-5 ปี พบการติดเชื้อสูงตามกลุ่มวัยอื่นๆ เช่นกัน เฉพาะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กอายุ 0-5 ปี ติดเชื้อถึง 6 พันกว่ารายในช่วง 7 วันที่ผ่านมา  ซึ่งตั้งแต่ระลอกล่าสุดจากโอมิครอนช่วง ม.ค. การติดเชื้อจะอยู่ที่ประมาณสัปดาห์ละ 1 พันกว่าราย และ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสัปดาห์เดียวถึง 6 พันราย และเมื่อดูย้อนหลังจากระลอก เม.ย. 2564 - 17 ก.พ. 2565 มีการติดเชื้อสะสม 107,059 ราย คิดเป็น 5% จากการติดเชื้อทั้งหมดทุกกลุ่มกว่า 2 ล้านราย พบเด็กเสียชีวิต 29 ราย จากการมีโรคประจำตัว ส่วนช่วงอายุ 0-1 ปี 2 ปี 3 ปี 4 ปี และ 5 ปี มีการติดเชื้อประมาณ 2 หมื่นราย ไม่ได้แตกต่างกันมาก

สำหรับสาเหตุการติดเชื้อโควิด 19 ในเด็กปฐมวัย คือการสัมผัสใกล้ชิดกันในครอบครัวที่รับเชื้อมากจากนอกบ้าน และเรายังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี จึงต้องใส่ใจสุขอนามัยในเด็กเล็ก    โดยกรมอนามัย ทำการสำรวจอนามัยอีเวนต์โพล ประเด็นความกังวลและพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ในบ้าน จำนวน 6,087 คน ซึ่งตามคำแนะนำควรจะประเมินความเสี่ยงตนเอง เมื่อกลับมาจากทำงานนอกบ้าน เพื่อป้องกันกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ โรคประจำตัว สตรีมีครรภ์ และเด็กเล็ก ผ่าน "ไทยเซฟไทย" แต่พบว่ามีคนที่สนใจประเมินความเสี่ยงคือ 28% ไม่ถึง 1 ใน 3 จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประมาท เพราะไม่มีการประเมินความเสี่ยงที่อาจรับเชื้อโดยไม่มีอาการและนำมาติดลูกหลานในบ้าน

"แนะนำว่าในบ้านถ้ามีกลุ่มเปราะบาง ควรมีการประเมินตนเอง หากพบว่าเสี่ยงสูง ควรตรวจด้วย ATK ว่าติดเชื้อหรือไม่ เาะอาจไม่มีอาการ ส่วนการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่พบว่าทำได้ต่ำกว่า 50% เช่น การใช้อุปกรณ์ส่วนตัวแยกกับผู้อื่น ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่จับร่วมกัน ไม่กินอาหารร่วมกัน และที่แทบทำไม่ได้เลย คือการแยกใช้ห้องน่ำ ก็เข้าใจว่ามีห้องน้ำเดียวในบางบ้าน จึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในจุดสัมผัสและทำความสะอาดบ่อยๆ" นพ.เอกชัยกล่าว

นพ.เอกชัยกล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ปฏิบัติไม่ได้ คือ 1.ส่วนใหญ่บอกให้สวมหน้ากากร่วมกันในบ้านไม่ชิน อึดอัด หายใจไม่สะดวก และมั่นใจว่าคนในบ้านไม่มีเชื้อ จึงไม่สวมหน้ากาก 2.การเว้นระยะห่าง เพราะบ้านมีขนาดจำกัดทำให้เว้นะระยห่างไม่ได้ 3.อาหารไม่พอถ้าต้องแยกกันกิน กินพร้อมกันจะประหยัดกว่า อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำว่าหากทำไม่ได้ ประเด็นที่ต้องระวัง คือ 1.ฉีดวัคซีนทั้งครอบครัว ยกเว้นเด็กเล็ก เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันไม่ถ่ายทอดสู่เด็ก 2.หลีกเลี่ยงไปสถานที่สาธารณะที่คนรวมกันเยอะ โดยเฉพาะร้านอาหารแบบปิด

ส่วนหลักปฏิบัติลดแพร่ระบาดโควิดในเด็ก คือ 1.สอนเด็กรู้จักวิธีล้างมือที่ถูกต้อง ก่อนหลังกินอาหาร  2.เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัย เพราะยังไม่รู้จักการเอาหน้ากากออกเอง 3.หลีกเลี่ยงไปสถานที่คนรวมตัวมากๆ โดยเอาเด็กไปด้วย 4.ทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสร่วมในบ้าน และของเล่น และ 5.หมั่นดูแลสุขภาพลูกน้อย หากมีอาการผิดปกติอาจปรึกษาแพทย์

 

ส่วนกลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี และเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เพราะเด็กกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก ปอดอักเสบ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ ซึ่ง 29 รายที่เสียชีวิตเกิน 50% มีโรคประจำตัว

ส่วนหญิงตั้งครรภ์มีติดเชื้อ 6,829 ราย เสียชีวิต 110 ราย มีลูกเสียชีวิต 66 ราย ซึ่งกลุ่มแม่ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย หากติดเชื้อปกติดี ไม่มีอาการอะไร ไม่มีโรคประจำตัว ทำ HI ได้ แต่ให้ระวังตัวเอง หากไอ ไข้ หายใจไม่อิ่ม ออกซิเจนต่ำกว่า 96% ให้รายงานแพทย์ที่ฝากครรภ์ หากไม่ทราบติดต่อเบอร์อะไรคือ 1330 และ 1669 และขอให้สตรีมีครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีน เพราะรับไปเพียง 115,000 คน มีอีก 2 แสนรายยังไม่ได้ฉีด หากฉีดแล้วจะช่วยลดการป่วยรุนแรงได้

ด้าน นพ.ธีรชัย บุญยะลีพรรณ รอง ผอ.สถาบันพัฒนาอนามัยเด็กแห่งชาติ กรมอนามัย กล่าวว่า   อาการที่พบมากในเด็กติดเชื้อ คือ ไข้ จะมีชัดเจนในวันแรกและวันที่สอง ส่วนไข้จะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับระดับอาการ มีอาการไอแห้ง เจ็บคอ อ่อนเพลีย คัดจมูก น้ำมูกมีหรือไม่มีก็ได้ อาการเหมือนหวัด บางรายอาจมีอาการผื่นแดง จมูกไม่ได้กลิ่น ซึ่งเด็กโตถึงจะบอกได้ เบื่ออาหาร เด็กไม่ยอมกินข้าวกินนม ท้องเสีย และปวดท้อง โดยอาการแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1.น้อย เช่นไข้ต่ำ มีน้ำมูก ไอ หรือถ่ายเหลวเล็กน้อย พอกินนมได้เล่นได้ และ 2.อาการมาก ไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส หายใจเร็ว หายใจใช้แรงมากกว่าปกติ สังเกตจากจมูกบาน หายใจอกบุ๋ม ชายโครงบุ๋ม ออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94% มีอาการซึมลงไม่ดูดนม ซึ่งเด็กต่ำกว่า 1 ขวบจะดูเรื่องการกิน เช่น ช่วงไม่ป่วยกินได้ 100% หากป่วยกินน้อยลงเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ หากเกิน 1 ขวบจะดูที่เรื่องเล่นเป็นหลัก ว่าเล่นลดลงน้อยกว่า 50-60% ถือว่าป่วยหนักขึ้น
 

ทั้งนี้ กรณีการแยกกักที่บ้านสำหรับเด็กที่อาการไม่มาก สำคัญ คือ เว้นระยะห่าง เพราะอาจเอาเชื้อไปติดกลุ่มเสี่ยงอื่นในบ้าน โดยเฉพาะผู้สุงอายุ โรคประจำตัว   ต้องสวมหน้ากากอนามัย โดยอายุเกิน 2 ปีควรสอนเด็กหัดใส่หน้ากากให้ถูกวิธี  ส่วนต่ำกว่า 2 ขวบใส่ได้แต่ควรระวัง เพราะยังบอกอาการยากว่าไม่อยากใส่ หรือหายใจไม่ออก ให้ดูเป็นรายบุคคล , แยกนอนในห้องเดี่ยว แต่ส่วนใหญ่จะนอนกับพ่อหรือแม่ พยายามอย่าเปิดแอร์ให้ระบายอากาศดีกว่า แยกของใช้ส่วนตัว ส่วนการดูแลด้านจิตใจ เด็กป่วยไม่มาก 1-2 วันก็ไข้ลด ให้พาทำกิจกรรม เช่น อ่านนิทาน กิจกรรมอื่นๆ ตามปกติ แต่อย่าเอาเกม แท็บเล็ตมาเล่น หรือดูโทรทัศน์ เพราะไม่เหมาะสมกับเด็ก

"กรณีเด็กที่อยู่ HI ไม่ได้ เกิดจากแยกกับผู้ใหญ่ไม่ได้ จะเข้ามาสู่การดูแล CI ซึ่งติดต่อแต่ละจังหวัดได้ ซึ่งจะมีช่องทางให้ติดต่อ เมื่อเข้ามาเราอนุญาตให้ผู้ปกครองดูแลได้ เด็กจะเลือกแม่เป็นหลัก และจะแยกโซนแยกเตียงเท่าที่แยกได้ เพื่อไม่ให้ใกล้ชิดเตียงอื่น เพราะเด็กชอบวิ่งไปเล่นกับเตียงอื่น เข้าได้อยู่ได้ แต่ผู้ปกครองต้องเข้มงวดดูแลตัวเอง ส่วนเด็กที่จะต้องแอดมิทแล้วรอเตียง สำคัญคือการดูแลเบื้องต้น โดยเฉพาะไข้ อย่าให้ไข้สูงแล้วชัก เน้นเช็ดตัวมากกว่ากินยาพาราเซตามอล" นพ.ธีรชัยกล่าว

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org