ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ไม่กังวลต่อการที่กระทรวงสาธารณสุขยกระดับการเตือนภัยโควิดเป็นระดับ 4 ทั่วประเทศแต่อย่างใด และการยกนระดับเตือนภัยดังกล่าวก็คงไม่มีผลต่อมาตการด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ตแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมามาตรการต่างของจังหงัดภูเก็ตก็อยู่ในระดับ 4 มาโดยตลอด แต่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เป็นขาขึ้นเช่นนี้ มีความพยายามจะทำให้การเดินทางเข้าประเทศง่ายขึ้นกว่าเดิม

“เราคุยกันอยู่เสมอว่าจะไม่ดูตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ แต่จะดูตัวเลขผู้ที่จะต้องเข้าระบบสาธารณสุขเท่านั้น มันไม่สามารถใช้วิธีปฏิบัติในอดีตเข้ามาจับในสิ่งที่เป็นปัจจุบันได้ เหตุผลเพราะโอมิครอนเองไม่ได้ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการแพทย์มากเท่ากับสมัยที่การระลาดยังเป็นสายพันธุ์เดลต้า ประกอบกับได้รับวัคซีนไปเยอะแล้ว ภูเก็ตอาจเป็นจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนต่อประชากรสูงสุดในประเทศไทยรวมถึงฉีดเข็ม 3 และ 4 แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเซตติ้งเปลี่ยนจะไปใช้วิธีปฏิบัติเดิมมาจับมันเป็นไปไม่ได้” นายภูมิกิตติ์กล่าว

นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวขจังหวัดภูเก็ตกล่าวว่า ทั้งนี้ที่ผ่านมาภูเก็ตได้มีข้อเสนอหลักๆ ไปยังภาครัฐคือ คือ 1.ยกเลิกการ swab ครั้งที่ 2 ของนักท่องเที่ยวด้วยเหตุผลว่า การตรวจพบผู้ติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา มีอัตราต่ำกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในพื้นที่จ.ภูเก็ตมาก จึงควรปรับเงื่อนไขการเข้าประเทศให้ง่ายขึ้นด้วย 2. ปรับวงเงินประกันขั้นต่ำจาก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐเหลือ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียวและขณะนี้ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลแต่อยู่ใน Hotel room isolation ที่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลน้อยกว่าและใช้เวลาเพียงแค่ 10 วันจึงไม่จำเป็นต้องมีวงเงินประกันสูงขนาดนั้น 3.ลดระยะเวลาแยกกักตัวผู้ติดเชื้อ 5+5 คือกักตัว 5 วัน และอีก 5 วันสามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ให้ปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention รวมทั้งเสนอให้เป็น Endemic หรือโรคประจำถิ่นได้แล้ว เนื่องจากภูเก็ตมีผู้ติดเชื้อคิดเป็น 12-13 เปอร์เซ็นต์ของประชากร มีการฉีดวัคซีนภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่งแล้ว และคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อก็รักษาในระบบ Home isolation

นายภูมิกิตติ์กล่าวว่า ขณะนี้ภูเก็ตกับประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่รับนักท่องเที่ยวแล้ว หลายๆ ชาติต่างก็เปิดรับกันแล้ว วิธีการเดิมๆ อาจไม่เหมาะอีกต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ระมัดระวัง เพราะการติดเชื้อ 1 ครั้งทำให้แมนพาวเวอร์หายไปด้วย สิ่งที่กังวลจึงไม่ใช่แค่ประเด็นด้านสาธารณสุขอย่างเดียว แต่กังวลเรื่องเศรษฐกิจด้วย

“วันก่อนเรายังเป็นพวกหล่อเลือกได้ วันนี้เราหล่อเลือกได้จริงหรือเปล่า หากมันยังเป็นโรคฉุกเฉินมันมีเงื่อนไขของการปฏิบัติ เรามีความเชื่อว่าคนติดโควิดไม่ใช่ทุกคนจะมีอาการ ดีที่สุดคือไม่ติดแต่ถ้าติดแล้วก็รักษากันไป แทนที่รัฐจะต้องมาเสียงบประมาณในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการแพทย์และซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ปีหนึ่งหลายพันล้านบาท เราควรทำความเข้าใจกันใหม่ดีมั้ย ประกอบกับหลายประเทศเองก็เห็นแนวทางตรงกันไม่ใช่เราเห็นอยู่คนเดียว ซึ่งมีอ้างอิงทั้งหมด คิดว่าข้อเสนอนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดทั้งฝั่งดีมานด์และซับพลาย ทั้งคนท้องถิ่นและนานาชาติ” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ตกล่าวถึงแนวทางการรับมือการแพร่ระบาดในขณะนี้