ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

    คำว่า "สายพันธุ์ใหม่" กลับมารบกวนจิตใจของชาวโลกอีกครั้งหลังจากการระบาดที่สาหัสในฮ่องกง แม้ว่าประเทศอื่นๆ จะเริ่มละมาตรการควบคุมการระบาดแล้วก็ตาม แต่การละมาตรการควบคุมการระบาดใหญ่เกิดขึ้นในขณะที่บางประเทศที่ละมาตรการเหล่านั้นกำลังเจอกับการติดเชื้อที่สูงมากเช่นกัน (เช่น เกาหลีใต้) ความย้อนแย้งนี้ทำให้การฟื้นตัวไม่นิ่ง เหมือนกับที่อันโตนิโอ กูแตร์เรส (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติที่กล่าวว่าความท้าทายของโลกคือการฟื้นตัวของโควิดที่ “ไม่สม่ำเสมออย่างน่าตกใจ” (1)
    ความกังวลนี้ถูกตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่อ สเตฟาน บังเซล (Stephane Bancel) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของบริษัท Moderna บอกกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า มีโอกาสประมาณ 1 ใน 5 ที่เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นซึ่งอันตรายกว่าเวอร์ชันปัจจุบัน และสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นประจำปีเพื่อป้องกันสายพันธุ์ที่คล้ายกับโอไมครอน (2)
    ก่อนอื่น ก่อนที่เราจะพูดถึงแนวโน้มในอนาคต การแพร่กระจายของสายพันธุ์ย่อย BA.2 สั่นคลอนหลายๆ ประเทศอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาที่พยายามจะกลับสู่ภาวะปกติก่อนการระบาดใหญ่ก็เริ่มที่จะหวั่นไหวกับการปรากฏตัวของมัน
    BA.2 เป็นสายพันธุ์ย่อยล่าสุด (ณ เดือนมีนาคม) ของ Omicron ที่มาของ BA.2 นั้นยังไม่ชัดเจน แต่ก็กลายเป็นสายพันธุ์ที่ครอบงำอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงอินเดีย เดนมาร์ก และแอฟริกาใต้ มีการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องในยุโรป เอเชีย และหลายส่วนของโลก นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียก BA.2 เป็นสายพันธุ์ "พรางตัว" เนื่องจากไม่เหมือนกับสายพันธุ์ BA.1 ตรงที่ขาดลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมที่แยกความแตกต่างจากสายพันธุ์ Delta หมายความว่า แม้ว่าการทดสอบ PCR มาตรฐานจะยังตรวจจับ BA.2 ได้ แต่ก็อาจไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างจาก Delta ได้
    "ข่าวดี" ก็คือ BA.2 ถือว่าแพร่ได้ง่ายกว่าแต่ไม่รุนแรงกว่า BA.1 ซึ่งหมายความว่าในขณะที่ BA.2 สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่า BA.1 แต่ก็อาจไม่ทำให้คนป่วยได้มากกว่า และการศึกษาเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าวัคซีน Pfizer–BioNTech หรือ Moderna จำนวน 2 โดสป้องกันการติดเชื้อตามอาการจาก BA.1 และ BA.2 เป็นเวลาหลายเดือนก่อนหน้า ลดลงเหลือประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม การฉีดบูสเตอร์สามารถยกระดับการป้องกันได้อีกครั้งใกล้เคียงกับระดับเดิม

ที่สำคัญ วัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการหนักจนต้องรับรักษาในโรงพยาบาลหรือป้องกันการเสียชีวิต 70% ถึง 80% และประสิทธิภาพนี้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 90% หลังจากให้เข็มกระตุ้น (3)
    ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก BA.2 ในบางส่วนของโลกมีแนวโน้มจากการที่มันมีศักยภาพการแพร่เชื้อที่สูงขึ้น บวกกับภูมิคุ้มกันที่ลดลงของผู้คน และการผ่อนคลายข้อจำกัด 
ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่า แม้ว่าอาจมีการติดเชื้อ BA.2 เพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อก่อนหน้าจะช่วยป้องกันการติดเชื้อจนกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ อาจทำให้มีโอกาสน้อยที่ BA.2 จะทำให้เกิดอัตราการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นว่าการฉีดวัคซีนลดน้อยลงและไม่มีการสานต่อการฉีดเข็มกระตุ้น (3)
    มาถึงตอนนี้ เราอาจจะรู้สึกแล้วว่าการเปลี่ยนผ่านจากการระบาดใหญ่ไปสู่โรคประจำถิ่นมันไม่ง่ายเลย อย่างแรกคือมันยังมีสายพันธุ์ยิบย่อยเกิดขึ้นมาราวกับไม่รู้จักจบสิ้น อย่างที่สอง การเกิดขึ้นของสายพันธุ์เหล่านี้ (และโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีก) ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องฉีดวัคซีนเป็นประจำ การฉีดวัคซีนคือสิ่งที่จะช่วยให้เราก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริงได้ แม้ว่าบางคนอาจจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการต้องถูกฉีดกระตุ้นครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
    ดังนั้น ซีอีโอของ Moderna จึงกล่าวว่า “ผมคิดว่ามีโอกาส 80% ที่สายพันธุ์ที่เราจะได้เห็นในอนาคตนั้นสามารถจัดการได้จากจุดยืนที่เข้มงวดและการผลิตวัคซีน แต่ผมคิดว่าเราควรระมัดระวังให้มากๆ อยู่เสมอ เพราะมีโอกาส 20% ที่จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นในสายพันธุ์ใหม่บางตัวที่ร้ายแรงมาก” (2)
    แน่นอนว่า เราไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ซีอีโอของ Moderna ชี้ว่ามันมีโอกาส 20% (ซึ่งไม่ใช่น้อยๆ เลย) ที่เราจะพบกับสายพันธุ์ที่ร้ายแรง และสาเหตุหนึ่งมาจากการฉีดวัคซีนที่ไม่สม่ำเสมอ
    ตัวอย่างเช่น ดร.มาร์ค ไดบูล (Dr. Mark Dybul) ศาสตราจารย์จากแผนกการแพทย์ของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และนักภูมิคุ้มกันวิทยา เสนอแนะก่อนที่ Omicron จะปรากฎตัวว่าการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ที่อันตรายกว่าจะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 2565 ซึ่งจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึง Omicron หรือไม่เพราะมันไม่ได้ทำให้ผู้คนป่วยหนักหรือเสียชีวิตเท่ากับ Delta  
    แม้จะยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วหรือยัง แต่คำเตือนของเขาควรรับฟังไว้ โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน ดร.มาร์ค ไดบูล กล่าวว่า “ไม่มีทางเลยที่คุณจะมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำทั่วโลกโดยที่ไวรัสเด้งไปเด้งมาระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนและไม่ได้รับวัคซีน ผมเป็นนักวิทยาภูมิคุ้มกัน ความน่าจะเป็นที่เราเห็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อวัคซีนนั้นสูงมาก”  (4)
    ประกาศและมิตซิ นครกัตติ (Prakash Nagarkatti, Mitzi Nagarkatti) สองศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยา จุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา มหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา กล่าวว่า "จะมีคลื่นทำลายล้างอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อ BA.1 มาก่อน (ในกรณีของ BA.2) อย่างไรก็ตาม การสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีนนั้นปลอดภัยกว่าจากการติดเชื้อ การฉีดวัคซีน การฉีดกระตุ้น และข้อควรระวัง เช่น การสวมหน้ากาก N95 และการเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตนเองจาก BA.2 และสายพันธุ์อื่นๆ" (3)
    ดังนั้น กับคำถามที่ว่า "เรากำลังพ้นจากการระบาดใหญ่ หรือแค่รอเวลาพบกับสายพันธุ์ใหม่?" คำตอบก็คือเราอาจจะพ้นการระบาดใหญ่ได้หากเราเชื่อมั่นว่าอัตราการฉีดวัคซีนของเราสม่ำเสมอพอ ส่วนการรอเวลาพบสายพันธุ์ใหม่นั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ เพราะมันมีอัตราถึง 1 ใน 5 จากการประเมินของผู้บริหารบริษัทวัคซีนชั้นนำ 
    ถ้าจะให้ชัดขึ้น ยังมีการคาดการณ์ของคริส วิตตี้ (Chris Whitty) ซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของอังกฤษกล่าวว่ายังอีกยาวไกลกว่าที่โลกจะปลอดจากโควิด นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่าโควิด-19 จะคงอยู่ตลอดไปและจะเป็นภัยคุกคามเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่นนับแสนคนในแต่ละปี
    เขายังคาดการณ์ว่า เชื้อโควิดชนิดใหม่ ซึ่งอาจเลวร้ายยิ่งกว่า Omicron สามารถโจมตีโลกได้ในอีกสองปีข้างหน้า เขาบอกว่า "เราสามารถลงเอยกับสายพันธุ์ใหม่ที่สร้างปัญหาที่เลวร้ายกว่าที่เรามีกับ Omicron และปัญหา Omicron นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย" (5) 
    แต่ความเป็นไปได้เหล่านั้นก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจต้องหมกมุ่นหรือกังวล เพราะหากทำตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ข้างต้น "ไปก่อน" พร้อมกับค่อยๆ ขยับขยายคลายมาตรการต่างๆ เราก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตเกือบจะปกติได้ได้ โดยเฉพาะการทำกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ
    แต่เพราะหลายๆ ส่วนของโลกกระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะกลับมาเป็นปกติก่อนการระบาดใหญ่มากเกินไปและเพราะสิ้่นสุดความอดทนกับมาตรการควบคุมของรัฐบาล ทำให้ประชาชนสละการป้องกันตัวเองไปโดยแทบจะสิ้นเชิงในหลายๆ กรณี แบบนี้เราย่อมสามารถคาดเดาได้ว่า แม้แต่การกลายพันธุ์ที่ดูเหมือนไม่มีพิษสงอย่าง BA.2 ก็อาจทำให้คนเข้าโรงพยาบาลได้มากขึ้นเช่นกัน 
    นับประสาอะไรกับโอกาสอีก 20% ที่จะเจอเชื้อที่ร้ายกาจกว่าในอนาคต

อ้างอิง

1. "UN chief warns against ‘sleepwalking to climate catastrophe’". (21 March 2022). UN.
2. Rutherford, Fiona. Langreth, Robert. (24 March 2022). "Moderna Sees 1-in-5 Odds of Dangerous Future Covid Variant". Bloomberg. 
3. Nagarkatti, Prakash. Nagarkatti, Mitzi. (22 March 2022). "What is the new COVID-19 variant BA.2, and will it cause another wave of infections in the US?". The Conversation.
4. Reilly, Dan. (17 November 2021). "Georgetown medical professor and immunologist predicts there will be a fully vaccine-resistant COVID variant by the spring". Fortune.
5. "New Covid variant worse than Omicron to emerge in 2 years, warns UK's top health expert". (21 March 2022). Mint.

ภาพ NIAID Integrated Research Facility (IRF) - Novel Coronavirus SARS-CoV-2