ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรค เผยสาเหตุกรณีรายงานยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด  ด้วยการตรวจ ATK ในระบบ Dashboard และตัวเลขรายงานจังหวัดไม่ตรงกัน  ย้ำ! สธ.เน้นจำนวนผู้ป่วยอาการหนัก เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการรักษาใน รพ. 

 

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา แถลงกรณีข้อสงสัยการคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดจากการตรวจ ATK เนื่องจากยอดในระบบ Dashboard และตัวเลขรายงานจังหวัดไม่ตรงกัน นั้น กรมควบคุมโรค ขอชี้แจงว่า การดำเนินงานด้านข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความโปร่งใสตามมาตรฐานวิชาชีพ ไม่มีการปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด แต่เนื่องจากการรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด 19 อัพเดทรายวัน ที่ปรากฏบนระบบ Dashboard ในเว็บไชต์กรมควบคุมโรค โดยข้อมูลการตรวจ ATK เป็นการใช้ข้อมูลจากระบบ Co-Lab ซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากห้องปฏิบัติการทั่วประเทศของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งข้อมูลที่นำเสนอรายวันจากกรมควบคุมโรค อาจมีการตัดยอดในเวลาที่แตกต่างกันกับพื้นที่ จึงทำให้ได้ข้อมูลไม่ตรงกัน

 

นพ.จักรรัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ขอเน้นไปที่จำนวนผู้ป่วยอาการหนัก และจำนวนผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการรักษาในโรงพยาบาล เพราะถ้าผู้ป่วยในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น จะสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์การระบาดนี้มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น  สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการก็จะเข้าระบการรักษา OPSI (Outpatient with Self Isolation) หรือเข้าระบบการรักษาตัวที่บ้าน HI (Home Isolation) ถ้ามีอาการหนักจึงไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล  สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ อาจพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเชื้อโอมิครอนสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว และไม่มีมาตรการปิดสถานที่ต่างๆ 

 

“ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยง 608 มาฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเมื่อลูกหลานกลับไปเยี่ยมในช่วงสงกรานต์ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวหากติดเชื้อจะมีอัตรา  การเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 สูง หากได้รับวัคซีนหรือวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยลดการป่วยหนัก และลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 41 เท่า เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรปฏิบัติเพื่อให้ปลอดภัยจากโรคคือการเคร่งครัดมาตรการ VUCA (การได้รับ Vaccine, การป้องกันตัวแบบครอบจักรวาล Universal Prevention, มาตรการปลอดภัยในองค์กร Covid Free setting, และตรวจ ATK อย่างสม่ำเสมอ)” นพ.จักรรัฐ กล่าว