ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สสส. ผนึกเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดและเครือข่าย สร้างเสริมสุขภาพในเขตเมือง หวังยกเป็นพื้นที่ต้นแบบชุมชนเมืองน่าอยู่สู่ความยั่งยืน พัฒนาคุณภาพชีวิตคนตั้งแต่เกิดจนตาย ยกระดับการทำงานกับชุมชนขนาดใหญ่ ขยายแนวคิด วิธีการ องค์ความรู้ สู่ อปท.ทั่วประเทศ

​นายธวัชชัย  ฟักอังกูร  ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 3 สสส. กล่าวว่า สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ศูนย์สนับสนุนวิชาการเพื่อการจัดการเครือข่ายพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดเวทีจัดการความรู้และลงนามความร่วมมือสุขภาวะชุมชนเมืองน่าอยู่สู่ความยั่งยืน ซึ่งสสส. เข้ามาช่วยส่งเสริมสนับสนุนบทบาทของ อปท.

เพื่อให้ท้องถิ่นเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนในเขตของตนเอง ทำให้ท้องถิ่นมีศักยภาพสามารถดูแลการจัดการปัญหาของตนเองให้ได้ สำหรับโครงการสร้างสุขภาวะชุมชนเพื่อเมืองร้อยเอ็ดน่าอยู่สู่ความยั่งยืน จะก่อประโยชน์มหาศาลจากการดำเนินโครงการในระยะปี 1 ปี 6 เดือน คือ 1. ชุมชนจะมีวิธีคิดที่เปลี่ยนไป ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตนเอง จะจัดการกันเอง ดูแลกันเอง จะร่วมมือกันป้องกันปัญหาและแก้ปัญหา 2. ชุมชนจะไม่ทอดทิ้งกัน คอยช่วยเหลือกันและกัน มีความเอื้ออาทร มีจิตอาสา 3.เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ในชุมชน เช่น ผู้นำ คนต้นแบบ รู้รับปรับตัว สามารถเผชิญปัญหาได้ ขณะที่  อปท. จะมีชุมชนเข้ามาช่วย อปท.ทำงาน และอปท. จะเป็นของชุมชน หรือ ชุมชน คือ อปท.


ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุน สสส. และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สสส. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ สสส.โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน ได้ทำงานกับชุมชนระดับตำบลมาโดยตลอด ครั้งนี้ได้ยกระดับทำงานกับชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างเทศบาลเมืองหรือเทศบาลนคร ซึ่งมีความซับซ้อนแตกต่างจากชุมชนท้องถิ่นที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นการศึกษาพัฒนาต้นแบบในการทำงานร่วมกับชุมชนขนาดใหญ่ ส่วนการเลือกทำงานร่วมกับเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดนั้น เพราะชุมชนนี้มีความเข้มแข็ง การมีส่วนร่วมของประชาชนมีสูง และที่สำคัญผู้นำมีใจ คือคนได้ ใจได้ ทำงานเป็น ที่ร้อยเอ็ดมีองค์ประกอบครบถ้วน

​“หลายคนอาจจะมองว่าชุมชนเมืองมีข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจ มีความพร้อมเกือบทุกด้าน แต่จริงๆ แล้ว ชุมชนเมืองกลับมีจุดอ่อนเรื่องบริการสุขภาพค่อนข้างมาก เกิดความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง จึงพบเห็นคนจนเมืองที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนดูแล ถ้าคนเหล่านี้อยู่ในชุมชนนอกเขตเมือง อาจจะมีกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือแกนนำชุมชนช่วยดูแลได้ แต่เมื่อมาเป็นคนจนเมือง คนเหล่านี้อาจจะตกสำรวจ ไม่รู้ว่าอยู่ในหน้าที่ของใคร

เพราะฉะนั้นความเหลื่อมล้ำนี้จึงมีมากเมื่อเทียบกับชนบทหน้าที่ของ สสส. คือเมื่อเราได้พื้นที่ต้นแบบหรือพื้นที่นำร่อง สิ่งที่เราทำคือการสร้างตัวคูณ โดยขยายแนวคิด วิธีการ และองค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้รับ ไปสู่ อปท. อื่นๆ ต่อไป” ดร.ประกาศิต กล่าว

นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ นายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด ในฐานะหัวหน้าโครงการสร้างสุขภาวะชุมชนเพื่อเมืองร้อยเอ็ดน่าอยู่สู่ความยั่งยืน กล่าวว่า จากการที่เทศบาลเมืองร้อยเอ็ดได้รับการสนับสนุนจาก สสส.ให้ดำเนินโครงการสร้างสุขภาวะชุมชนฯ โดยมีเป้าหมายเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดให้เป็นต้นแบบการจัดการสุขภาวะชุมชนเขตพื้นที่เมือง ด้วยการใช้ทุนและศักยภาพออกแบบระบบการจัดการพื้นที่ พัฒนานวัตกรรม และนโยบายสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และพันธกิจของเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยคำนึงถึง

“สุขภาวะทุกมิติ” ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากรเพื่อพัฒนาศักยภาพระบบการจัดการพื้นที่และสร้างเครือข่ายผู้นำชุมชนท้องถิ่นให้เป็นกลไกในการจัดการกับสถานการณ์ทั่วไปและสถานการณ์วิกฤตที่กระทบต่อชุมชนท้องถิ่น จึงมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ดจำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาลตำบลสุวรรณภูมิ อ.สุวรรณภูมิ, เทศบาลตำบลเสลภูมิ อ.เสลภูมิ และเทศบาลเมืองสรวง อ.เมืองสรวง เข้าร่วมเป็นเครือข่ายและได้จัดทำบันทึกความร่วมมือขึ้น 

ด้านนายสมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ กล่าวว่า  เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ มีมากกว่า 3,000 แห่ง นับเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในการพัฒนาท้องถิ่น ที่ผ่านมา สสส. สำนัก 3 ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาสุขภาวะชุมชน กับชุมชนฐานล่างเป็นหลัก ปีนี้เป็นปีแรกที่ สสส. ได้เริ่มหาต้นแบบการสร้างระบบการจัดการสุขภาวะของชุมชนเมือง โดยนำเอาศาสตร์พระราชามาเป็นเครื่องมือหนึ่งในการขับเคลื่อนโครงการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

“เป้าหมายสุดท้ายที่เราต้องการเมื่อทำงานกับชุมชนเมือง รวมถึงชุมชนฐานล่าง คือ เราอยากเห็นชุมชนท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้ ดูแล พัฒนา ชุมชนตนเองได้  โดยให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูล ซึ่งเป็นหนึ่งในศาสตร์พระราชา ที่ว่าด้วยการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา การมีข้อมูลทำให้สามารถเข้าถึงปัญหาที่แท้จริง  จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การระเบิดจากข้างใน ก็จะทำให้เห็นความสำคัญของคนในชุมชน สามารถสร้างความเข้มแข็ง มีศักยภาพด้วยตัวเอง  และสุดท้ายจะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง นำไปสู่การจัดการชุมชนได้” ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ กล่าว