ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

สปสช. แจงชัดกรณียกเลิกสัญญา รพ.เอกชน 9 แห่งมีผล 1 ต.ค.65  เหตุตรวจสอบพบเบิกจ่ายไม่ตรงข้อเท็จจริง ลั่นประชาชนสิทธิบัตรทองในรพ. 9 แห่งราว 1 แสนคน แต่มี 4 กลุ่มยังใช้บริการได้ตามเงื่อนไข ส่วนกลุ่มอื่นๆ ระหว่างนี้เป็นสิทธิว่าง สามารถใช้บริการสถานพยาบาลปฐมภูมิของบัตรทองได้ทุกที่  ขณะที่ผู้ป่วยไต ที่มีนัดฟอกไต -นัดผ่าตัดหัวใจ -สวนหัวใจใส่บอลลูน- ใส่สเต็นท์ ยังคงรับบริการได้รพ.เอกชนทั้ง 9 แห่งตามเดิม

 

เมื่อวันที่ 19 กันยายน  ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ  ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. แถลงข่าว “สปสช.ไม่ลอยแพผู้ป่วย แจงความพร้อมรองรับ หลังยกเลิกสัญญา รพ.เอกชน 9 แห่ง”  ว่า สืบเนื่องจากกรณี สปสช.ได้ยกเลิกสัญญาบริการสาธารณสุขโรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 9 แห่ง เนื่องจากผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข พบเอกสารหลักฐานว่า หน่วยบริการเอกชนทั้ง 9 แห่งมีการเบิกค่าคัดกรองเมตาบอลิกไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงเป็นที่มาการยกเลิกสัญญาเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ และหน่วยบริการรับส่งต่อในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

โดยรพ.เอกชนทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ รพ.มเหสักข์, รพ.บางนา 1, รพ.ประชาพัฒน์, รพ.นวมินทร์, รพ.เพชรเวช, รพ.ผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2, รพ.แพทย์ปัญญา, รพ.บางมด และ รพ.กล้วยน้ำไท ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปนั้น ขอให้ประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองในรพ.ดังกล่าว ไม่ต้องกังวล ทางสปสช.ได้มีแนวทางรองรับเพื่อให้สามารถใช้สิทธิบริการในระหว่างที่สิทธิว่างจากกรณีที่เกิดขึ้น โดยยังสามารถใช้สิทธิรักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิเดิมของตนได้ และสามารถเข้าไปเลือกสิทธิหน่วยบริการที่รับการส่งต่อได้ผ่านทางสายด่วน 1330 หรือแอปพลิเคชัน หรือไลน์ของสปสช.

ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สำหรับประชากรสิทธิบัตรทองที่มีสิทธิใน รพ.ทั้ง 9 แห่งแยกดังนี้  ในการดูแลประชากรปฐมภูมิ 220,313 คน ข้อมูลจากปี 2564 ทั้งปี และปี 2565 (9 เดือน) พบว่ามีประชากรใช้บริการ 99,947 คน คิดเป็น 45.36% ดูแลประชากรรับส่งต่อ 696,103 คน ในจำนวนนี้จากข้อมูล 6 เดือนล่าสุดพบว่า มีประชากรใช้บริการ 18,200 คน หรือประมาณร้อยละ 2.61% ขณะเดียวกันมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำนวน 22,246 คน โดยสปสช.ได้เตรียมความพร้อมรองรับ แบ่งออกเป็น

1.กลุ่มผู้ป่วยในที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ทั้ง 9 แห่ง รักษาต่อไปเช่นเดิม จนกว่าจะสิ้นสุดการรักษา โดย รพ.จะยังได้รับค่าใช่จ่ายในการรักษาพยาบาลจาก สปสช.

2.กลุ่มผู้ป่วยที่มีนัดรักษาหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ได้แก่ นัดผ่าตัดต่างๆ หญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอดที่มีนัดทำคลอด ผู้ป่วยมะเร็งที่มีนัดรังสีรักษาและเคมีบำบัด ผู้ป่วยที่มีนัดตรวจอัลตร้าซาวด์ นัดตรวจซีทีสแกน (CT Scan) นัดตรวจ MRI ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเร่งด่วน ในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ย.) สปสช.นัดหมายประชุมกับ รพ.เอกชนทั้ง 9 แห่ง ให้รักษาตามที่ได้นัดหมายต่อไป รวมถึงกรณีที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อจาก รพ.ทั้ง 9 แห่งนี้ไปรักษาที่อื่น เช่น นัดตรวจและฟังผลอัลตร้าซาวด์อีก รพ.หนึ่ง ก็ใช้สิทธิได้เหมือนเดิมไปก่อนจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยเบิกจ่ายค่ารักษาจาก สปสช. ตามประกาศเหตุอันสมควร เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ป่วย และในระหว่างนี้ หากมีนัดหมายต่อไป สปสช.ได้ประสาน รพ.แห่งใหม่ไว้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับรักษาต่อเนื่อง และจะประสานผู้ป่วยโดยตรงต่อไป

3.กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง ฯลฯ ที่มีนัดตรวจติดตามอาการและรับยาต่อเนื่องหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ไปรักษาที่คลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรม และศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้านที่ไหนก็ได้ ทั้งนี้ สปสช.จัดเตรียมรายชื่อหน่วยบริการเพื่อให้ท่านทราบว่าไปที่ไหนได้บ้าง ผู้ป่วยสามารถไปติดต่อที่หน่วยบริการดังกล่าวได้เอง หรือ โทร.มาที่สายด่วน สปสช. 1330 กด 6 เพื่อสอบถามรายชื่อหน่วยบริการใกล้บ้านที่สามารถไปรักษาได้และให้สายด่วน 1330 ประสานการรักษาต่อได้

4.ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยวัณโรคที่ต้องรับยาต่อเนื่อง ไปรักษาที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง หรือโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน ในส่วนของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ท่านสามารถไปรับยาและตรวจติดตามอาการได้ที่หน่วยบริการที่ให้บริการได้ เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุข ศูนย์การแพทย์บางรัก (คลินิกบางรัก) สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) และพริบตา แทนเจอรีน สหคลินิก เป็นต้น

“ ทั้งนี้ กลุ่มที่ 5 สำหรับผู้ป่วยไตที่มีนัดฟอกไตกับทั้ง 9 รพ.เอกชนนี้ และผู้ป่วยที่มีนัดผ่าตัดหัวใจ สวนหัวใจใส่บอลลูน ใส่สเต็นท์ ยังคงรับบริการได้ตามนัดเหมือนเดิม เนื่องจากการยกเลิกสัญญาไม่ได้รวมถึงการให้บริการด้านฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และบริการด้านการทำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีผ่านสายสวน” ทพ.อรรถพร กล่าว

ข้อมูลจากสปสช.

 

 ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีประชาชนสิทธิบัตรทองที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโรคดังกล่าว หรือไม่ได้ป่วยจะทำอย่างไร ทพ.อรรถพร กล่าวว่า  ขอให้ตรวจสอบสิทธิการรักษา แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้ 

1.ผู้ที่สถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้น (หน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ) และสถานพยาบาลที่รับการส่งต่อ (หน่วยบริการรับส่งต่อทั่วไป) เป็น 1 ใน 9 รพ.เอกชน ขอให้ท่านลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการแห่งใหม่ที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง คลินิกชุมชนอบอุ่น 214 แห่ง และหน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลต่างๆ โดยลงทะเบียนเลือกได้ทางแอปพลิเคชัน สปสช. อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่มีหน่วยบริการในเขตพื้นหรือใกล้บ้านให้เลือกลงทะเบียน ขออย่ากังวลใจ เพราะขณะนี้ สปสช.อยู่ระหว่างการเร่งจัดหาหน่วยบริการเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป หากเกิดภาวะเจ็บป่วยท่านก็ยังใช้สิทธิบัตรทองรักษาได้ โดยเข้ารับบริการที่ทุกหน่วยบริการปฐมภูมิทุกแห่งในระบบบัตรทอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

2.ผู้ที่สถานพยาบาลเข้ารับการรักษาเบื้องต้น (หน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ) เป็นคลินิกเอกชนหรือศูนย์บริการสาธารณสุข ที่ไม่ใช่ รพ. 9 แห่งนี้ และมีสถานพยาบาลที่รับการส่งต่อ (หน่วยบริการรับส่งต่อทั่วไป) ระบุว่า เป็น 1 ใน 9 รพ.เอกชน เมื่อเจ็บป่วยท่านยังคงเข้ารับการรักษาได้ตามรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้นตามสิทธิได้เช่นเดิม กรณีที่จะต้องถูกส่งต่อไปรักษายังสถานพยาบาลอื่น สปสช.ได้ประสานงานให้ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่ได้จัดหาเพิ่มให้

ทพ.อรรถพร กล่าวอีกว่า ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทองในรพ. 9 แห่งนี้ ไม่ต้องกังวล ในระหว่างนี้ที่เป็นสิทธิว่าง สามารถรับบริการในรพ.ระบบบัตรทองได้หมด โดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ ส่วนกรณีเคสฉุกเฉินนั้น หากเข้าข่ายฉุกเฉินวิกฤตก็จะอยู่ในเกณฑ์ของโครงการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้าได้ทุกที่ หรือ UCEP แต่หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน ไม่เข้าเกณฑ์ยูเซปก็สามารถรับบริการในระบบบัตรทองได้ทุกแห่ง อย่างไรก็ตาม  ประชาชนสามารถเลือกเปลี่ยนรพ.ได้ตามช่องทางของสปสช.  และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองทั้ง 9 รพ. สปสช.ได้เปิดสายด่วน 1330 กด 6 เพื่อให้ผู้ป่วยติดต่อประสานเพื่อดำเนินการต่อไป  หรือช่องทางออนไลน์ ทั้งไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6  หรือแอปพลิเคชัน สปสช. Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand และไลน์ ทราฟฟี่ ฟองดูว์ พิมพ์ไลน์ไอดี @traffyfondue หรือคลิก https://lin.ee/nwxfnHw  

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หน่วยบริการดังกล่าวทำผิดสัญญาจากความบกพร่องในเรื่องของการข้อมูล ทพ.อรรถพร กล่าวว่า เรื่องนี้มีระบบการตรวจสอบ ซึ่งหากมีการเคลียร์ข้อมูลแล้ว และพิสูจน์สิ่งต่างๆแล้วเสร็จก็สามารถกลับมาเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อเช่นเดิมได้ ทางสปสช.ไม่ได้ปิดกั้น แต่จะมีเกณฑ์กำหนดชัดเจน

 

เมื่อถามว่ามีคำถามกรณีสปสช.มีการยกเลิกหน่วยบริการลักษณะนี้ เป็นเพราะอะไร ทพ.อรรถพร กล่าวอีกว่า สปสช.มีระบบการตรวจสอบ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการพิทักษ์สิทธิให้ประชาชนสิทธิบัตรทองที่อยู่ในหน่วยบริการนั้นๆ ส่วนหากกรณีที่เกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดของข้อมูลหรือไม่  หรือมาจากอะไรก็ตามนั้นก็มีระบบตรวจสอบชัดเจนอยู่ สิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org