ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วันที่ 23 กันยายน 2565 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกัญชาเสรีทางการแพทย์ ที่มี นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน  อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รองประธาน ได้หารือร่วมกับหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุข โดยได้ทบทวนแนวทางการควบคุมการปลูก ใช้ประโยชน์ ผลิต และจำหน่ายเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภาพและทางการแพทย์  และป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนประเด็นของผลกระทบที่เกิดจากปลดพืชกัญชาออกจากยาเสพติดหลังวันที่ 9 มิถุนายน 2565  ข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับต้นทาง กลางทางและปลายทาง โดยเปรียบเทียบกับข้อกฏหมายระหว่างประเทศ  และมาตรการป้องกันและติดตามผลกระทบ 

นพ.ประพนธ์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ที่ผ่านมาทางกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด มีระบบการควบคุมกำกับผลกระทบด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้น และมีการประชุมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล  การทำงานอย่างต่อเนื่องทำให้เราเข้าใจความเป็นพลวัตรของสังคมและกัญชา ว่าทำไมฟากฝั่งประชาชนจึงต้องการให้ปลดกัญชาจากยาเสพติด เพราะต้องการนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพ ที่เป็นความต้องการร่วมของคนทั่วโลก เราพูดกันมานานว่า เราต้องการปฏิรูประบบสุขภาพ  คืนอำนาจการดูแลสุขภาพให้ประชาชน

 ซึ่งกัญชาเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่คนไทยใช้มานาน คงไม่สามารถนำบริบทบ้านเราไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ  ที่ไม่มีความรู้เหล่านี้อยู่เลย ในส่วนของผลลบที่สังคมกังวล ข้อมูลของกรมการแพทย์วันนี้ที่มารายงาน ก็พบว่าเมื่อเทียบกับยาเสพติดอื่น กัญชาไม่ได้ทำให้เกิดการเสพติดสูงเป็นอันดับ 1 แต่เป็นอันดับ 5 นอกจากนั้นสิ่งที่เราพบก็คือ รูปแบบการใช้ยาเสพติดมีการใช้ร่วมกันหลายชนิด และเมื่อดูแนวโน้มการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการในแต่ละปี พบว่า ไม่มีมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  ตรงนี้เป็นสิ่งที่อยากสื่อสารถึงสังคม ขอให้มั่นใจว่าเรามีระบบในการป้องกันผลกระทบด้านลบ"

"ในส่วนของความสอดคล้องกับกฏหมายระหว่างประเทศนั้น จริงๆแล้วไม่ได้มีการระบุว่าต้องกำหนดให้เป็นยาเสพติด แต่ต้องมีมาตรการป้องกันการนำไปใช้ในทางผิด อย่างเช่น อิสราเอล ก็กำหนดกัญชาเป็น dangerous drug  ส่วนแคนาดา ก็มีการออกกฏหมายควบคุมที่เรียกว่า cannabis act ในส่วนของประเทศไทยนั้นมีการกำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม ที่หากไม่ทำตามจะมีความผิดทางอาญา และในส่วนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ก็มีกฏหมายที่เกี่ยวข้องที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาดูแลอยู่ จึงไม่ใช่เป็นสุญญากาศแบบที่หลายคนเข้าใจ

จากข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีผู้ได้รับอนุญาตจำหน่ายและแปรรูป 801 คำขอ  ส่งออก 67 คำขอ  รวมทั้งสิ้น 868 คำขอ  ปัจจุบันกรมการแพทย์แผนไทยฯ ยังได้เร่งอบรมและเสริมสมรรถนะพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดการทำงานไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นในวันนี้เรายังได้แลกเปลี่ยนกันในเรื่องการติดตามผลิตภัณฑ์และบริการในท้องตลาด โดยการสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่องเป็นการประกันความปลอดภัยให้ผู้บริโภค" นพ.ประพนธ์ได้กล่าวทิ้งท้าย