ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.จัดทำคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2567 วงเงิน 4.37 แสนล้านบาท ทั้งงบบริหารจัดการ งบลงทุน งบบุคลากร งบสุขภาพปฐมภูมิ ฯลฯ พร้อมเสนอขอค่าป่วยการ อสม. เป็น 2 พันบาท เนื่องจากเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหมอคนที่ 1 ของคนไทย “อนุทิน” ย้ำไม่ได้เป็นการหาเสียง เพราะค่าป่วยการไม่ใช่นโยบายพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นงานของกระทรวงสาธารณสุขที่ทำอยู่แล้ว ส่วนงบบัตรทองขอเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกราว 55 บาท ย้ำ! งบส่งเสริมสุขภาพไม่กระทบ เร่งเดินหน้าทำเป็นกฎหมาย

 

เมื่อวันที่  26 มกราคม 2566   ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมนำเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ภาพรวมกระทรวงสาธารณสุข ว่า การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ภาพรวมกระทรวงสาธารณสุข ได้ย้ำว่า ขอให้ยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ใช้เม็ดเงินภาษีให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล เกิดความคุ้มค่า ได้ประโยชน์สูงสุด   โดยจะขับเคลื่อนงานผ่านประเด็นหลัก 6 เรื่อง คือ เศรษฐกิจสุขภาพและนวัตกรรมการแพทย์, การปรับตัวสู่สังคมสูงอายุคุณภาพ, การพัฒนาบุคลากรให้เพียงพอ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการจ้างงานรูปแบบใหม่, การเรียนรู้จากโควิด 19 เพื่อพลิกโฉมสาธารณสุข ยืดหยุ่นต่อวิกฤตและภัยอุบัติใหม่, งานบริการระบบปฐมภูมิ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และ Digital Health เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ระบบการแพทย์ทางไกล

 

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 มีวงเงินคำขอรวมทั้งสิ้น 437,131.4 ล้านบาท แบ่งเป็น คำขอของหน่วยงานในสังกัด 10 กรม 219,652 ล้านบาท กองทุนในกำกับ 3 กองทุน 214,362 ล้านบาท และองค์การมหาชน 6 หน่วยงาน 3,117 ล้านบาท จำแนกเป็นหมวดงบประมาณ ดังนี้ งบด้านบุคลากร 124,480 ล้านบาท งบดำเนินการ 30,824 ล้านบาท งบลงทุน 30,160 ล้านบาท งบอุดหนุน 32,708 ล้านบาท และงบรายจ่ายอื่นๆ 1,480 ล้านบาท โดยมีโครงการสำคัญที่จะดำเนินการ เช่น ผู้สูงอายุ วงเงิน 155.58 ล้านบาท,  ยาเสพติด วงเงิน 3,341.80 ล้านบาท, สุขภาพปฐมภูมิ/อสม. วงเงิน 27,606.89 ล้านบาท, Digital Health วงเงิน 1,248.80 ล้านบาท, Medical Hub วงเงิน  162.99  ล้านบาท

“ปีงบประมาณ 2567 ในส่วนของงบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้เสนอขอเพิ่มขึ้นจากอัตราเหมาจ่ายรายหัวปี 2566 จำนวน 3,385.98 บาท ต่อหัวประชากร เพิ่มขึ้นในปี 2567 เป็นจำนวน 3,440.51 บาทต่อหัวประชากร เพื่อให้หน่วยบริการได้นำมาดูแลสุขภาพของประชาชนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า  สำหรับข้อกังวลเรื่องงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในกลุ่มประชาชนนอกสิทธิบัตรทองนั้น ได้รับรายงานจากเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่าได้หารือ และได้รับการยืนยันจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ว่าพร้อมที่จะเข้าไปในรูปแบบเดียวกัน และจะมีในส่วนของสวัสดิการข้าราชการด้วย    

นอกจากนี้ ยังจะมีการเสนอขอเพิ่มค่าป่วยการการปฏิบัติหน้าที่ รวมค่าเสี่ยงภัยให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) 2,000 บาทต่อเดือน  เนื่องจากเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหมอคนที่ 1 ของคนไทย อย่างไรก็ตามไม่ได้ถือเป็นส่วนเพิ่มของงบฯ แต่อย่างใด เพราะยังอยู่ในงบฯ กรอบใหญ่ อย่างไรก็ตาม งบดังกล่าวคาดว่าจะได้รับตามที่เสนอ ซึ่งสุดท้ายที่จะพิจารณาอนุมัติ คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมาจากปวงชนชาวไทย ตนมั่นใจว่าสมาชิกสภาฯ ทุกท่านเข้าใจถึงความทุ่มเทเสียสละ การเสี่ยงชีวิต การตั้งใจทำงานของอสม.ทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล คนที่พี่น้องอสม. ดูแลคือพ่อ แม่ พี่น้องของผู้แทนทุกคน จึงหวังว่าจะได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี  

 

เมื่อถามว่าการขอเพิ่มค่าป่วยอสม. ในช่วงเวลานี้กังวลว่าอาจจะถูกมองเป็นเรื่องของการหาเสียงหรือหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการหาเสียง เพราะค่าป่วยการนี้ไม่ได้เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นงานของกระทรวงสาธารณสุข ที่ทำอยู่แล้ว

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  กล่าวว่า คำของบประมาณในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวม 154,572.2 ล้านบาท ซึ่งนอกเหนือจากงบรายจ่ายด้านบุคลากร จะเป็นงบประมาณที่ใช้เพื่อการดูแลประชาชน โดยเฉพาะงบลงทุน ที่นำมาใช้พัฒนาสถานพยาบาลและระบบบริการสุขภาพต่างๆ เช่น ก่อสร้างอาคารบริการ ระบบบำบัดน้ำเสีย จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงงบดำเนินการที่ใช้ในการรองรับโรคและภัยสุขภาพต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 

ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวถึงการจัดสรรงบในส่วนส่งเสริมป้องกันโรคหรืองบPP ในปีงบประมาณ 2567ว่า  สปสช.ได้หารือร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.)เห็นร่วมกันที่จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา(พรฎ.)ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ดำเนินการงบประมาณในส่วนนี้ครอบคลุมไปยังผู้ที่อยู่ในสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมด้วย ซึ่งขณะนี้บอร์ดสปส.ได้เห็นชอบแล้ว และอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับกรมบัญชีกลางที่ดูแลสวัสดิการข้าราชการหากเห็นชอบร่วมกัน ก็จะเสนอ พรฎ.เข้าครม.เห็นชอบก็สามารถออกเป็นกฎหมายได้ ทั้งนี้จะทันรัฐบาลนี้หรือไม่นั้น ฝ่ายข้าราชการประจำจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

“เดิมทีงบส่งเสริมป้องกันโรคนี้ สปสช.ดำเนินการตั้งงบประมาณและใช้ในการดูแลครอบคลุมคนไทยทุกคนทุกสิทธิอยู่แล้ว ไม่เฉพาะผู้ที่อยู่ในสิทธิบัตรทอง ในปีงบประมาณ 66 ราว  5,000 ล้านบาท แต่เมื่อมีการทักท้วงเรื่องข้อกฎหมาย ก็จะมีการดำเนินการออกเป็นพรฎ.มารองรับ ส่วนการตั้งงบ จัดสรรงบ เบิกจ่ายและบริหารจัดการก็จะเป็นแบบที่เคยทำมา ไม่กระทบการรับบริการของประชาชน โดยปีงบฯ2567 งบส่วนนี้เสนอขอราว 7,000 ล้านบาท” นพ.จเด็จ กล่าว