‘ยงยุทธ’ ไม่สั่งพักงาน ผจก.สสส. ยันต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงปมเช็คหาย 1 ล้าน
Sat, 2015-05-16 13:57เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ [1] : รองนายกฯ สั่งตรวจสอบปมเช็ค สสส.หาย 1 ล้านบาท แต่สุดท้ายได้คืน เผยต้องตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ที่มี ไม่สั่งพักงานผู้จัดการ สสส. เหตุคนร้องเรียนไร้ตัวตน ด้าน "กฤษดา" ขอความเป็นธรรม แจงข้อกล่าวหาแทบไม่มีส่วนไหนเป็นจริง ส่วนมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ปีที่ผ่านมาได้ทุน 52.6 ล้านบาท ไม่ใช่ 300 ล้านบาทตามที่ถูกร้องเรียน ยันเช็คหายไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหตุเงินไม่สูญจากระบบ คาดผิดพลาดทางบัญชี อาจไม่ใช่ทุจริต
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 58 เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ [1]รายงานว่า นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีผู้ทำหนังสือร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาปลด ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เนื่องจากมีการบริหารที่ไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์การให้ทุนแต่กลุ่มก๊วนเดิม และใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย ว่า เรื่องความไม่โปร่งใสหรือส่อเค้าทุจริตก็ต้องดูแลตรวจสอบให้ชัดเจน แต่เรื่องนี้ผู้กล่าวหาไม่ได้ระบุตัวตน อาจเป็นเพียงการกล่าวหาลอยๆ อย่างไรก็ตาม ก็จะมีการตรวจสอบไปตามหลักเกณฑ์ที่มี ทั้งการซักถามและหาข้อมูล ซึ่งการประชุมบอร์ด สสส.เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ก็มีการแจ้งเรื่องดังกล่าวด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวคงไม่กระทบต่อภาพใหญ่ ยังทำงานต่อไปได้ แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ สสส.หรือผู้ใดก็ตามก็ต้องมีการชี้แจง
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตรวจสอบผู้จัดการ สสส.จำเป็นต้องมีการพักงานไปก่อนหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม นายยงยุทธ กล่าวว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น เพราะการกล่าวหาไม่มีการระบุตัวตนชัดเจน
เมื่อถามถึงกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งหนังสือให้ สสส.ประเด็นมีผู้นำเช็คออกไป แต่ภายหลังมีการนำเงินมาคืน นายยงยุทธ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วประมาณ 5 ปี ซึ่ง สสส.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวน โดยมีนายวิวัฒน์ วิกรานตโนรส เป็นประธานกรรมการสอบสวน ทั้งนี้ พบว่า เช็คดังกล่าวมีมูลค่า 1 ล้านบาท แต่ภายหลังมีการนำมาคืน ซึ่งอาจเป็นการทุจริต อย่างไรก็ตาม ขอให้รอผลการสอบสวนที่ชัดเจน
เมื่อถามถึงการใช้งบประมาณฟุ่มเฟือยและใช้งบแบบไม่มีประสิทธิภาพ นายยงยุทธ กล่าวว่า ในที่ประชุมบอร์ดวันนี้ได้มีการเสนอผลการดำเนินงานการสร้างแบรนด์ของ สสส. ทั้งการใช้งบประมาณด้านสื่อในการออกแคมเปญต่างๆ รวมไปถึงการตั้งร้านสุข หรือสุขชอป ก็พบว่าผลการดำเนินการเป็นไปด้วยดี บอร์ดมีความพึงพอใจ ที่สำคัญการใช้งบประมาณถือว่าน้อยกว่าหน่วยงานรัฐในระดับเดียวกัน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการใช้งบฟุ่มเฟือย
ด้าน ทพ.กฤษดา กล่าวว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ แทบไม่มีส่วนไหนเป็นความจริงเลย จึงอยากขอความเป็นธรรมด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าการบริหารงานของ สสส.โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และทุกปีมีการรายงานต่อรัฐสภา และมี สตง.ตรวจสอบ สำหรับประเด็นการให้ทุนของ สสส.นั้น จะมีคณะกรรมการกองทุน ซึ่งมีรองนายกฯ เป็นประธานเป็นผู้พิจารณาการให้ทุน ไม่ใช่อำนาจของผู้จัดการ สสส. ซึ่งจะมีการจัดทำแผน 3 ปี และแผนประจำปี รวมทั้งมีคณะกรรมการบริหารแผน 8 ชุด ซึ่งแต่ละชุดจะดูแลการใช้งบประมาณให้เป็นไปอย่างประหยัดและได้ประสิทธิผล ส่วนกรณีข่าวมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ได้รับทุนปีละ 300 ล้านบาท จากการตรวจสอบก็พบว่า ปีที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้รับทุน 3 โครงการ รวมเป็นเงิน 52.6 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ โครงการการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการทำงานผู้พิการในนิคมอุตสาหกรรม และโครงการศูนย์เรียนรู้ต้นแบบการสร้างเสริมสุขภาพ (sook station) และจากการตรวจสอบไม่พบว่ากรรมการมูลนิธิดังกล่าวเป็นกรรมการกองทุน สสส.
“ผมยินดีชี้แจงข้อมูลทุกข้อกล่าวหา แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าข้อกล่าวหานั้นไม่มีความจริง และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กล่าวหาด้วยซ้ำ ซึ่ง สสส.มีโครงการที่อาจทำให้เกิดผู้เสียประโยชน์จากการรณรงค์ให้ลดปัจจัยเสี่ยงอยู่จำนวนมาก”ทพ.กฤษดา กล่าว และว่า สำหรับประเด็นการใช้งบประมาณฟุ่มเฟือยยืนยันว่า งบการทำสื่อประชาสัมพันธ์เราใช้งบน้อยมากเมื่อเทียบกับหน่วยงานรัฐ แต่ทำให้ประชาชนเห็นได้มากกว่า หรือข้อกล่าวหาเรื่องสร้างโรงอาหารใหม่ทั้งที่ใช้ได้ไม่ถึง 2 ปี เป็นความฟุ่มเฟือยก็ไม่จริง เพราะเป็นการเพียงการขยายโรงอาหารเพื่อรองรับจำนวนผู้มาเยี่ยมชมอาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น เพราะจากสถิติผู้มาเยี่ยมชมจะพบว่า ปีที่แล้วมีมากถึง 1.3 แสนคน ขณะที่ปีนี้แค่เพียง ม.ค.-เม.ย. กลับพบว่ามีผู้มาเยี่ยมชมแล้วถึง 1.1 แสนคน คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มมากถึง 3 แสนคน เฉลี่ยคือ 400 คนต่อวัน ขณะที่โต๊ะเก้าอี้ในโรงอาหารมีบริการเพียง 100 ตัวเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ จึงมีการใช้งบประมาณเพียง 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่แพงในการขยายโรงอาหาร โดยเพิ่มเก้าอี้เป็น 170 ตัว และขยายครัวจาก 4 หัวเตา เป็น 8 หัวเตา
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี สตง.ส่งหนังสือมายัง สสส.ให้ตรวจสอบเรื่องเช็คหาย มีการดำเนินการอย่างไร ทพ.กฤษดา กล่าวว่า สตง.เพียงแค่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น เมื่อพบความผิดปกติจึงส่งมายัง สสส. ซึ่ง สสส.ก็จะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำและชี้แจงกลับไป โดยเรื่องนี้ได้ชี้แจงไปแล้วว่า ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น เพราะเงินยังอยู่ในระบบเช่นเดิม โดยเรื่องเกิดตั้งแต่ 5 ปีก่อน ซึ่งเมื่อไม่มีเงินหาย ก็ไม่เห็นว่าเป็นการทุจริต หรือ เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนที่บอร์ด สสส.ให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบก็เป็นเรื่องปกติตามกระบวนการ
“ผมได้รับรายงานว่ามีเช็คหาย จึงให้มีการแจ้งความในเรื่องดังกล่าว แต่จากการติดตาม 2 วัน ก็พบว่ามีการนำเงินมาคืน จึงถือว่าไม่ได้เกิดความเสียหายเพราะเงินยังอยู่ในระบบ ไม่ได้สูญหาย แต่กระบวนการที่เช็คหายไปไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นความผิดพลาดทางบัญชีก็ได้ ไม่ได้เป็นเรื่องทุจริตเพียงอย่างเดียว เหมือนกับที่เราทำเงินหายแล้วได้คืน จะเอาเรื่องคนที่นำเงินมาคืนก็ไม่ถูกต้อง” ผู้จัดการ สสส. กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่าในส่วนการต่อเติมโรงอาหาร ในอาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ชั้น 1 บริเวณดังกล่าวมีการนำแผ่นไม้มาปิดกั้นบริเวณดังกล่าวทั้งหมด และมีป้ายกระดาษติดชี้แจงว่า เพื่อเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายของศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ โดยสำนักศูนย์เรียนรู้สุขภาวะได้ควบคุมการออกแบบในเชิงคอนเซ็ปต์ดีไซน์เพื่อให้พื้นที่ในห้องอาหารเป็นพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้ความรู้ความเข้าใจด้านอาหารสุขภาวะ รวมทั้งเป็นพื้นที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการ มีระยะเวลาก่อสร้าง 120 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. - 5 ก.ย.นี้ โดยพบว่าการก่อสร้างดังกล่าวทำโดยบริษัท บิวดิ้ง กูรู คอมพานี จำกัด