ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

บำรุงราษฎร์ลุ้นไตรมาส 2/56 กำไร 540 ล้านบาท มองครึ่งปีหลังจะกลับมาเติบโตจากการขยายเพิ่มห้องตรวจ-เตียง ICU ที่โรงพยาบาลเดิมที่นานา หวังช่วยเสริมการเติบโตในด้านของจำนวนผู้ป่วยให้เพิ่มขึ้นได้ ดันทั้งปีมีกำไร 2,344 ล้านบาท

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BHน่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 540 ล้านบาท ลดลง 11.9% จากไตรมาส 1/56 เนื่องจากทางด้านปัจจัยฤดูกาลเพราะไตรมาส 2 เป็นช่วงโลว์ซีซั่น และโดยปกติจะเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุด

อย่างไรก็ตาม กำไรก็ยังสามารถเติบโตขึ้นได้ 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH แล้ว หลังจากขายหุ้นทั้งหมดไปเมื่อกลางปี 2555

ส่วนรายได้ในไตรมาส 2/56 ยังคงเติบโตได้ 10.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเกิดจากค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลัก ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยนั้นค่อนข้างคงที่ เนื่องมาจากความสามารถ (Capacity) ที่ค่อนข้างเต็ม ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดห้องตรวจผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นมาแล้วเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ส่งผลเชิงบวกในแง่ของจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในระยะแรก

ด้านอัตรากำไรคาดว่า BH จะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ลดลงเล็กน้อยจาก 26.5% ในไตรมาส 2/55 เหลือ 25.3% ในไตรมาส 2/56 จากผลกระทบของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

สำหรับผลการดำเนินงานของ BH จะกลับมาเติบโตในระดับที่ดีอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 จากกำไรที่เป็นฐานเดียวกัน รวมถึง Capacity ใหม่ที่ขยายเพิ่มในโรงพยาบาลเดิมที่นานา ทั้งห้องตรวจผู้ป่วยนอกที่เปิดไปแล้วและเตียงไอซียู (ICU)และไอพีดี (IPD) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้บางส่วนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 จะช่วยเสริมการเติบโตในด้านของจำนวนผู้ป่วยให้เพิ่มขึ้นได้บ้างจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ที่เติบโตจาก Pricing และ Intensity เป็นหลัก

ประกอบกับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ 2nd Campus และพื้นที่ในซอยสุขุมวิท 1 ยังคงต้องรอและใช้เวลาในการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2560 และปี 2558 ตามลำดับ ซึ่งทำให้ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ทำให้ Capacity ปัจจุบันที่ค่อนข้างเต็มยังคงเป็นข้อจำกัดสำหรับการเติบโต แต่ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2556 ที่ 2,344 ล้านบาท เติบโต 17% จากปีก่อน และคงราคาเหมาะสมที่ 86 บาท แต่ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาทำให้อัพไซด์ (upside) กว้างขึ้น จึงปรับคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ขาย”

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น วันที่ 1 สิงหาคม 2556