ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ระยะนี้สาวๆจำนวนไม่น้อย แบกหน้าเรียว กระชับเด้งมาอวดว่า “ชั้นไปฉีดโบท็อกซ์มา เป็นไงสวยมั้ย” ถ้าจะตอบว่าไม่สวย...คงไม่ถูกใจ เพราะบางคนหมดเงินไปเป็นหมื่น เพราะอยากเปลี่ยนโครงหน้าจาก U เชพให้เป็น V เชพ แถมบางคนยังแถมด้วยการเติมฟิลเลอร์ตามร่องแก้ม ใต้คาง ให้หน้าดูอวบอิ่ม เต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัย...เป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนอยากสวยล่าสุด กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสาวอยากสวยที่นิยมไปฉีดโบท็อกซ์ เพื่อลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า กลัวจะเป็นเหยื่อการทำสวยที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งในแง่ของตัวสารที่ฉีด และคนที่ฉีด ที่นอกจากจะทำให้หมดเงินแล้ว ยังอาจจะหมดสวยไปเลยก็เป็นได้โบท็อกซ์....คืออะไร

นพ.จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ บอกว่า โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของสาร โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งมีการนำเข้าและจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างถูกต้อง แต่โดยตัวสารชนิดนี้จริงๆแล้ว โบท็อกซ์ เป็นโปรตีนบริสุทธิ์สกัดชนิดหนึ่งในธรรมชาติ สร้างจากแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินัม ที่พบได้ในอาหารกระป๋องและหน่อไม้ปี๊บที่ผลิตไม่มีคุณภาพหรือเสีย“ฤทธิ์โดยตรงของโบทูลินัมคือ ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวแต่ไม่บีบกลับ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หากได้รับในปริมาณมากและไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีจะทำให้เสียชีวิตได้ จากการหยุดหายใจ เนื่องจากกล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน” 

นพ.จิโรจ สินธวานนท์

รองอธิบดีกรมการแพทย์บอกพร้อมกับอธิบายว่า ในทางการแพทย์มีการสกัดนำคุณสมบัติของโบทูลินัม เรียกว่า โบทูลินัม ท็อกซิน มาใช้รักษาคนไข้กลุ่มประสาทวิทยาเพื่อลดอาการชัก เกร็ง หรือเด็กที่คลอดออกมาแล้วชัก โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือนขึ้นอยู่กับอาการ บริเวณที่ฉีด และอายุของผู้รับการรักษาต่อมาจึงมีการนำ โบทูลินัม ท็อกซิน ในปริมาณน้อย ไปใช้ฉีดรักษาโรคตาเหล่ ตาเข และพบว่าริ้วรอยบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว และรอบดวงตาดีขึ้นด้วย จึงมีการนำโบทูลินัม ท็อกซิน มาใช้ประโยชน์เพื่อความงามอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมารองอธิบดีกรมการแพทย์ บอกว่า การฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์ มีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการฉีดทั้งในการรักษาและเพื่อความงามมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ในสหรัฐอเมริกา ใช้การฉีดโบท็อกซ์ รักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเกร็งต้นคอ หรือฉีดเพื่อทำให้หน้าเรียวลง ยกกระชับผิวหนัง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และอีกหลายกรณี“การฉีดโบท็อกซ์เป็นการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อลงไปในชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อหรือเป็นอัมพาตชั่วคราว ผลคือช่วยลดรอยเหี่ยวย่นในบริเวณต่างๆของใบหน้า เช่น บริเวณหน้าผาก หางตา หว่างคิ้ว คาง ฯลฯ เนื่องจากเป็นบริเวณที่กล้ามเนื้อมีการขยับเกิดการพับ จึงทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นมากกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ” 

คุณหมอจิโรจบอกเฉพาะในสหรัฐอเมริกา รายงานจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA ปีล่าสุด พบว่าคนอเมริกันมีการฉีดโบท็อกซ์มากกว่า 1.5 ล้านครั้งต่อปี...!!

คุณหมอจิโรจ บอกว่า ข้อควรรู้อีกอย่างสำหรับคนที่จะไปฉีดโบท็อกซ์ ก็คือ การฉีดสารเหล่านี้มีระยะเวลา โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ เพราะการฉีดสารประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้ว คนจะติดใจ คือฉีดแล้วรู้สึกว่ามั่นใจขึ้น สาวขึ้น สวยขึ้น ก็เลยต้องฉีดซ้ำเรื่อยๆปัจจุบันมีโบทูลินัม ท็อกซิน ที่นำเข้ามาจดทะเบียนอย่างถูกต้องในเมืองไทยเพียง 5 ยี่ห้อ คือ Botox จากอเมริกา Dispot จากอังกฤษ Neuronox, Zentox และ Botulax จากเกาหลีผลข้างเคียงจากการฉีดแม้จะยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากการฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน แต่พบว่ามีผลข้างเคียงบางอย่างที่เกิดขึ้นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก กลืนอาหารลำบาก หน้าไม่สมดุล หรือมีจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด รวมถึงการไหลย้ายของสารหากนอนภายใน 3 ชั่วโมงหลังการฉีด หรือบีบนวดบริเวณที่ฉีดเพราะอาจทำให้เกิดการไหลไปกล้ามเนื้อมัดอื่นได้ ผลข้างเคียง เหล่านี้เกิดได้แม้จะเป็นการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ตาม ดีที่สุดคือแพทย์ควรคุยกับคนไข้อย่างละเอียดก่อนลงมือฉีด เพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องร้องหรือไม่เข้าใจกันในภายหลัง

คุณหมอจิโรจ ยังบอกอีกว่า นอกจากนี้มีการนำโบทูลินัม ท็อกซิน ไปฉีดเพื่อลดน่อง ลดแขน ลดสะโพก ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ทำให้ต้องใช้ปริมาณสารจำนวนมาก ถือว่ามีความเสี่ยงสูงและ อันตราย ซึ่งจะต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีความเชี่ยวชาญ มีเทคนิคการฉีดถูกต้องเหมาะสม สามารถวิเคราะห์ปริมาณยาและตำแหน่งที่ฉีดได้ถูกต้องแม่นยำเท่านั้น เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญอาจพลาดไปโดนเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อมัดอื่นที่ไม่ต้องการ รวมถึงการฉีดในปริมาณที่เกินขนาดอาจทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจ เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ถึงแม้ว่าโบท็อกซ์จะเป็นวิธีการรักษาที่ทำได้ง่าย ไม่ต้องผ่าตัด สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงทุกครั้งก่อนฉีดก็คือ ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผลิตภัณฑ์ที่ฉีดได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถานพยาบาลที่ทำการฉีดได้มาตรฐาน รวมทั้งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย เพื่อให้ได้ความสวยที่อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยมากที่สุด

ที่มา: http://www.thairath.co.th