ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หมอรัชตะ และหมอสมศักดิ์ ตรวจเยี่ยมอภ. มอบนโยบายเร่งรัดการผลิตยา เวชภัณฑ์ วัคซีนต่างๆ ให้เพียงพอใช้ดูแลประชาชนชาวไทย และมีสำรองไว้ใช้ในภาวะฉุกเฉินเพื่อความมั่นคง รวมทั้งการเร่งรัดการก่อสร้างโรงงานผลิตยาที่รังสิต และโรงงานผลิตวัคซีนที่สระบุรี ให้แล้วเสร็จทันเวลาที่กำหนดไว้ คาดว่าโรงงานผลิตยาที่รังสิตจะสามารถผลิตยาได้ต้นปี 2558 นี้

6 ต.ค.57 ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะที่ปรึกษา ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้ติดตามเรื่องหลักๆ ที่จะต้องเร่งรัดเรื่อง การผลิตยา เวชภัณฑ์ วัคซีน ให้มีเพียงพอที่จะใช้กับประชาชนชาวไทย และมีสำรองไว้ใช้ในภาวะฉุกเฉินเพื่อความมั่นคงเช่น กรณีโรคระบาด สงคราม รวมทั้งเรื่องการก่อสร้างโรงงานผลิตยา โรงงานผลิตวัคซีน ให้มีความชัดเจนในการกำหนดเวลาให้โรงงานเสร็จให้ทันเวลา

ศ.นพ.รัชตะ กล่าวว่า ได้มอบนโยบายที่มอบให้ อภ. ใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การสร้างความมั่นใจในการบริหารงานขององค์การเภสัชกรรมว่า ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ จะต้องดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีปัญหาขาดแคลน เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย หรือการป้องกันโรค ซึ่งเรื่องนี้จะไปผูกพันกับโรงงานผลิตยาที่กำลังก่อสร้างที่รังสิต ซึ่งยังไม่เสร็จ จึงได้ให้เร่งรัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าภายในไตรมาสแรกของปี 2558 จะเริ่มผลิตยาได้

2. คือการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่อ.ทับกวาง จ.สระบุรี ได้มีการพูดคุยกันว่าจะช่วยกันเร่งรัดให้แล้วเสร็จ โดยขณะนี้มีความชัดเจนในการปรับแบบต่างๆแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558 โดยองค์การเภสัชกรรมเสนอขอใช้งบประมาณเพิ่มเติม 59 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนที่จะขออนุมัติคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องเสนอตามขั้นตอนต่อไป และ 3.คือการผลิตยา/เวชภัณฑ์/วัคซีนร่วมกับบริษัทร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรม ซึ่งต้องให้เกิดความมั่นใจว่าการผลิตยาของบริษัทร่วมลงทุนขององค์การเภสัชกรรมจะสามารถดำเนินการผลิตๆได้ต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาขาดแคลน ส่วนกรณีที่บริษัทร่วมทุนเสนอขอเพิ่มทุนนั้น ก็เป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งต้องมีการหารือกันเป็นขั้นตอนต่อไป

สำหรับเรื่องการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ นั้น กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายข้อหนึ่งคือเรื่องธรรมาภิบาล ซึ่งจะมีการดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดโดยจะมีความร่วมมือกับภาคเอกชนในการดูแลเรื่องการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ายาบางตัวผลิตไม่ทัน ต้องไปซื้อเอกชน จนกระทบกับภาพลักษณ์ขององค์การเภสัชกรรมนั้น ตนมองว่าภาพลักษณ์ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การเภสัชกรรม จึงต้องดำเนินการผลิตยาให้ทันเวลา

ด้านนพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ในวันนี้องค์การเภสัชกรรมได้นำเสนอในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น 3 เรื่องได้แก่ 1.การขอคงสิทธิพิเศษตามพระราชบัญญัติยาและพระราชบัญญัติว่าด้วยการพัสดุฉบับใหม่ เพื่อให้การนำเข้าหรือผลิตยาบางราย เป็นไปอย่างคล่องตัวในกรณีต้องใช้ยาเร่งด่วนในภาวะฉุกเฉิน 2.การแก้ปัญหาโรงงานผลิตยาและวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม โดยโรงงานผลิตวัคซีน ได้เสนอขอเพิ่มงบประมาณ 59.3 ล้านบาท ที่ต้องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติการใช้เงิน และขอให้กระทรวงสาธารณสุขหรือรัฐบาลเจรจาขอขยายความช่วยเหลือด้านเทคนิคการผลิตวัคซีนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและสถาบันคาเคทซูเกน(KAKETSUKEN) จนกว่าการก่อสร้างโรงงานจะแล้วเสร็จและผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้

ส่วนโรงงานผลิตยาที่รังสิต จะได้เร่งรัดให้แล้วเสร็จและเปิดการผลิตได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ในระยะแรกจะผลิตได้ 2 สายพานการผลิตก่อน และในไตรมาสที่ 4 จะเปิดได้เต็มที่ทั้ง 4 สายพานการผลิต ส่วนปัญหาวัตถุดิบในผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ที่ขาดแคลน จนทำให้การผลิตยาขาดความต่อเนื่องนั้น ได้ขอให้มีการเจรจาในระดับรัฐบาลเพื่อความสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบ รวมทั้ง ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ คณะกรรมการองค์การเภสัช-กรรม ได้แนะนำให้เพิ่มรายชื่อผู้จำหน่ายวัตถุดิบให้มากขึ้น รวมทั้งให้เตรียมผลิตสำรองให้เพียงพอต่อการใช้ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3.การแก้ไขปัญหาบริษัทร่วมทุน ทั้งการขอเพิ่มทุน การแก้ไขข้อกำจัดในการสั่งซื้อวัคซีนนั้น จะได้มีการประชุมหารือกันในรายละเอียดต่อไป