ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รมว.สธ.ยันเดินหน้านโยบาย 10 ข้อ เห็นผลรูปธรรมในปี 2558 ทั้ง ขจัดปัญหาการขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากไทย ขยายทีมหมอครอบครัวไปในชุมชนเมือง ขยายดูแลสุขภาพครอบคลุมแรงงานต่างชาติ บูรณาการการทำงานดูแลประชาชนตามกลุ่มวัยแบบข้ามกระทรวง ออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค โรงงานวัคซีนหวัดใหญ่แล้วเสร็จใน 2 ปี พร้อมเดินหน้าธรรมาภิบาลในสธ. จั้ดซื้อจัดจ้าง แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ

ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าโครงการที่กระทรวงสาธารณสุขได้มอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนในปี 2558 ได้แก่ การฝังรากฟันเทียมและใส่ฟันเทียม การฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยักในผู้ใหญ่อายุ 20-50 ปี และโรคหัด การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมในผู้ป่วยตาต้อกระจกชนิดบอด ส่งมอบทีมหมอครอบครัว การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุต่อเนื่อง และการจัดตั้งหน่วยดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทุกโครงการจะดำเนินการต่อเนื่องและเสริมความเข้มแข็งขึ้น เนื่องจากมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา

สำหรับในปี 2558 นี้ จะเร่งเดินหน้านโยบายที่ได้วางไว้ 10 ข้อ แต่ละเรื่องมีจุดเน้นที่จะทำเช่นโครงการในพระราชดำริ จะเน้นเรื่องการขจัดปัญหาการขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากประเทศไทย โดยให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเม็ดเสริมสารไอโอดีนครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนนโยบายด้านสุขภาพ จะพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ทำให้ทีมหมอครอบครัวเข้มแข็งขึ้น และเพิ่มทีมหมอครอบครัวในเขตเมือง เพื่อให้บริการที่ซับซ้อนในโรคต่างๆ โดยเสริมความแข็งแกร่งให้โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ และจะขยายให้ครอบคลุมการดูแลสุขภาพกลุ่มแรงงานต่างด้าวด้วย

ในส่วนของนโยบายสร้างเสริมสุขภาพประชาชนตลอดชีวิตทุกกลุ่มวัย มุ่งเน้นโครงการบูรณาการทั้งในกระทรวงและข้ามกระทรวง ซึ่งมีนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถทำได้แต่เพียงลำพัง กระทรวงอื่นๆ ต้องช่วยกันดูแล ตั้งแต่ทารกในครรภ์มารดา เด็กแรกเกิด เด็กปฐมวัย วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ และผู้ป่วยระยะท้ายของชีวิต เป็นกระบวนการที่จะทำอย่างบูรณาการข้ามกระทรวง เพื่อลดปัญหา ลดจำนวนวัยรุ่นตั้งครรภ์ให้ได้ การดูแลส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ศ.นพ.รัชตะกล่าวอีกว่า ในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภค จะมีการออกกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจะทยอยออกไป นอกจากนี้มีเรื่องความมั่นคงระบบยาและวัคซีนของประเทศไทย ที่จะต้องเร่งรัดพัฒนา เช่น การก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขององค์การเภสัชกรรม จะเร่งรัดให้เสร็จทันกำหนดภายใน 2 ปีข้างหน้า รวมทั้งเพิ่มความเข้มแข็งในการสนับสนุนให้เกิดการผลิตยาภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น และการพิจารณาเพิ่มการจัดบริการใหม่ๆ หรือวัคซีนตัวใหม่ ๆ ที่จะเสริมให้กับประชาชนไทย

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการเชื่อมโยงระบบสุขภาพของไทยกับของโลก ซึ่งมีพันธะสัญญาหลายฉบับกับภาคีเครือข่ายระดับนานาชาติ เช่น เรื่องโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ซึ่งมีการเสริมความเข้มแข็งภายในภูมิภาค เพื่อดูแลไม่ให้เกิดระบาดของโรคติดต่อชนิดใหม่ ประการสุดท้ายที่มุ่งเน้นและเดินหน้าเต็มที่คือ เรื่องธรรมาภิบาลภายในกระทรวงสาธารณสุข ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการเข้าสู่ตำแหน่งและการเลื่อนตำแหน่งต่างๆ ด้วย