ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยมีระดับกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอร้อยละ 32 เข้าข่ายพฤติกรรมเนือยนิ่งเสี่ยงเป็นโรคในกลุ่มโรค NCDs ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งลำไส้ ตั้งเป้าเพิ่มระดับการมีกิจกรรมทางกายอีกร้อยละ 10 เพื่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อภายในปี 2563

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ประชาชนไทยยังมีความสับสนระหว่างคำว่า “ออกกำลังกาย” กับ “กิจกรรมทางกาย” ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความว่า กิจกรรมทางกาย หรือ Physical Activity ไม่ได้จำกัดเฉพาะการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเท่านั้น แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ที่ต้องใช้กล้ามเนื้อและพลังงาน ในชีวิตประจำวันทั่วไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นในการทำงาน เช่น การขึ้นบันได การเดินระหว่างอาคาร การเดินทาง เช่น การเดิน หรือปั่นจักรยานไปยังสถานที่ต่างๆ หรือกิจกรรมนันทนาการ เช่น การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา โดยยังมีอีกกลุ่มกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย เรียกว่า “พฤติกรรมเนือยนิ่ง” หรือ Sedentary behavior ที่คนไทยปัจจุบันมักจะมีพฤติกรรมนี้มากขึ้น เช่น การนั่งทำงาน การนั่งประชุม การนั่งหรือนอนเล่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ทำให้มีเวลาและโอกาสในการออกกำลังกายน้อยลง การมีกิจกรรมทางกายสะสมในแต่ละช่วงเวลาของวัน โดยเฉพาะในเวลาทำงาน หรือการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการลุกยืน และเดินไปดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำ การยืนในช่วงเวลาเบรค หลังจากนั่งเก้าอี้ทำงานทุก 1 ชั่วโมง การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ การเดินหรือปั่นจักรยานมาทำงานหรือในการเดินทาง การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน การลงรถโดยสารประจำทางก่อนถึงจุดหมาย การจอดรถให้ไกลจากอาคารมากขึ้น เหล่านี้ล้วนช่วยส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยได้มีกิจกรรมทางกายเพิ่มมากขึ้นในวิถีชีวิต และเป็นการลดพฤติกรรมเนือยนิ่งด้วย

นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ปี 2552 พบว่าการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรโลก ถึง 3.2 ล้านราย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 11,129 รายในประเทศไทย และจากการสำรวจระดับการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียงในประเทศไทยที่ผ่านมาพบว่า คนไทยมีระดับกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ลดลงจากปี 2550 ที่ร้อยละ85 และปี 2551 ร้อยละ 82 เป็นร้อยละ 68 ในปี 2557 ซึ่งทำให้  คนไทยเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเป็นโรค NCDs มากขึ้น อันจะส่งผลต่อภาระงบประมาณในการรักษาพยาบาล สมรรถภาพ ในการทำงาน และภาระทางสังคมในการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ด้วย

“ทั้งนี้ กรมอนามัยและภาคีเครือข่ายได้ประชุมระดมสมองจัดทำแผนยุทธศาสตร์กิจกรรมทางกายชาติ โดยได้ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ จากร้อยละ 68 เป็นร้อยละ 75 ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมียุทธศาสตร์ย่อยในมิติต่างๆ เช่น ระบบการศึกษา การคมนาคมขนส่ง การผังเมือง ระบบสาธารณสุข ระบบภาคธุรกิจและสถานประกอบการ การกีฬามวลชน การสื่อสารรณรงค์  ระบบฐานข้อมูลและการวิจัย เป็นต้น โดยจะเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์นี้ต่อคณะรัฐมนตรี ในต้นปี 2559 และขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายของคนไทยร่วมกับภาคีเครือข่ายต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ด้าน นพ.ชัยพร พรหมสิงห์ ผู้อำนวยการกองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์การอนามัยโลกได้แนะนำระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอสำหรับเด็ก อายุ 6-17 ปี อย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน สำหรับกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง/หนัก สำหรับผู้ใหญ่ อายุ 18-64 ปี อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง หรืออย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับกิจกรรมทางกายระดับหนัก โดยให้มีกิจกรรมในแต่ละครั้งอย่างน้อย 10 นาทีขึ้นไป ส่วนวัยสูงอายุตั้งแต่65 ปีขึ้นไปนั้น มีข้อแนะนำเช่นเดียวกับวัยผู้ใหญ่ แต่ให้เพิ่มเติมการฝึกการทรงตัวเพื่อป้องกันการล้ม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งด้วย โดยประชาชนสามารถดูระดับของกิจกรรมทางกายอย่างง่ายคือระดับปานกลาง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำแล้วเริ่มหายใจลำบาก แต่ยังพูดเป็นคำได้ เช่น การเดินเร็ว ส่วนกิจกรรมระดับหนัก เป็นกิจกรรมที่ทำแล้ว หายใจหอบจนพูดไม่เป็นคำ เช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ เป็นต้น