ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้ อสม. ใน 2,755 หมู่บ้านใน 10 จังหวัดที่พบโรคมาลาเรียชุกชุม อาทิ ตาก กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน ร่วมเฝ้าระวัง ป้องกันป่วยโรคนี้ในชุมชนให้ไทยเป็นพื้นที่ปลอดโรคภายในปี 2567 เน้นการสร้างความเข้าใจประชาชนให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุง ชุบน้ำยามุ้งนอนกันยุง แนะนำคนป่วยที่มีอาการพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อให้การตรวจรักษา ห้ามซื้อยากินเอง และคอยติดตามให้ผู้ป่วยกินยาครบสูตร พร้อมทั้งเร่งแก้ไขความเชื่อผิดๆว่า การดื่มเหล้าครั้งละมากๆ เป็นประจำ จะสามารถป้องกันโรคนี้ได้ ชี้นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังเสี่ยงป่วยง่าย เพิ่มโอกาสถูกยุงกัดมากขึ้นจากฤทธิ์มึนเมา และเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่นด้วยเช่นตับแข็งเป็นต้น 

นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการที่กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำยุทธศาสตร์กำจัดโรคมาลาเรีย พ.ศ.2560-2569 กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยปลอดโรคมาลาเรียภายในปี 2567 เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยลดลงมาก จากช่วงปี พ.ศ.2543 ที่มีรายงาน 150,000 ราย เหลือจำนวน 24,580 ราย ในปี 2558 หรือลดลงประมาณร้อยละ 85 กรมสบส.ซึ่งมีบทบาทสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน ได้ร่วมมือกับกรมควบคุมโรคจัดอบรม อสม.ทั่วประเทศ โดยเน้นใน 220 อำเภอ จำนวน 2,755 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 10 จังหวัดที่ยังพบโรคนี้มาก

โดยพบผู้ป่วยได้ร้อยละ 88 ของผู้ป่วยทั้งประเทศ ได้แก่ ตาก ยะลา กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน ศรีสะเกษ นราธิวาส สงขลา สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ และอุบลราชธานี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง และส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพในการดูแลตนเองและการป้องกันโรค เนื่องจากโรคมาลาเรียจัดเป็นโรคประจำถิ่นของพื้นที่ป่าเขา เมื่อมีคนในหมู่บ้านที่รับผิดชอบมีอาการน่าสงสัยให้แนะนำให้พบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และเมื่อป่วย เป็นโรคมาลาเรียจะต้องได้รับการดูแลให้กินยาตามแพทย์สั่งคือให้ถูกกับชนิดของเชื้อและครบสูตร เพื่อป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยา ลดปัญหาพฤติกรรมการแสวงหาการรักษาที่ไม่ถูกต้องของประชาชน   

นพ.ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า อสม.ที่ผ่านการอบรมแล้ว จะทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังและป้องกันหลักๆ 5 เรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการเป็นพิเศษได้แก่

1.ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจในการป้องกันยุงกัดโดยการ นำมุ้งนอนไปชุบน้ำยาป้องกันยุงก้นปล่องที่หน่วยควบคุมโรคติดต่อโดยแมลงในพื้นที่ เนื่องจากฤทธิ์ของสารเคมีทำให้ยุงตาย แต่ไม่เป็นอันตรายต่อคน น้ำยาจะออกฤทธิ์ได้นาน 1 ปี

2. ชี้แจงและแนะนำประชาชนให้ความร่วมมือเจ้าหน้าฉีดพ่นสารเคมีในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะห้องนอนอย่างทั่วถึง

3.เมื่อประชาชนมีอาการสงสัยจะเป็นไข้มาลาเรียคือไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ แต่ไม่มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ให้แนะนำไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา ห้ามซื้อยากินเอง เนื่องจากอาจไม่ตรงกับชนิดของเชื้อทำให้อาการรุนแรงขึ้น ที่เรียกว่าเชื้อมาลาเรียขึ้นสมอง อาจเสียชีวิตได้

4.ดูแลติดตามผู้ป่วยมาลาเรียให้กินยาให้ครบตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ และกลับไปตรวจเลือดซ้ำตามนัดทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อโรคมาลาเรีย

และ 5.ปฏิบัติตัวเป็นตัวอย่างในการป้องกันโรคมาลาเรีย โดยนอนในมุ้งชุบน้ำยา นอนในบ้านที่ได้รับการพ่นสารเคมีอย่างทั่วถึง เมื่อเข้าป่าให้ทายาป้องกันยุงกัด และสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิดทุกครั้ง

ประเด็นที่น่าห่วงในเรื่องของการป้องกันโรคมาลาเรีย พบว่ายังมีประชาชนบางส่วนมีความเชื่อผิดๆ ซึ่งอาจทำให้การป้องกันไม่ได้ผลดี เช่น เชื่อว่าการดื่มสุราครั้งละมากๆ เป็นประจำ จะทำให้โอกาสป่วยเป็นไข้มาลาเรียน้อยลดน้อยลง โดยให้เหตุผลว่าจากการสังเกตเห็นเพื่อนบ้านและตัวเขาเองซึ่งเป็นผู้ดื่มสุราจัด ไม่ค่อยป่วยเป็นโรคนี้ ตรงกันข้ามกับคนที่ดื่มเหล้าเล็กน้อยหรือนานๆ ครั้ง มักป่วยเป็นมาลาเรียบ่อยๆ ซึ่งขอชี้แจงว่าวิธีการที่กล่าวมานอกจากใช้ไม่ได้ผลแล้ว เพราะเหล้าไม่มีผลในการป้องกันยุงกัด และคนที่ดื่มเหล้าจะมีความเสี่ยงถูกยุงก้นปล่องกัดจากอาการมึนเมา ขาดการระมัดระวังป้องกันยุงกัด และเผลอหลับได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ประชาชนบางส่วนยังเชื่อว่าไข้มาลาเรียเกิดจากการดื่มน้ำในลำธารที่มีไข่ของยุงเข้าไป ซึ่งจะได้ให้ อสม.เน้นหนักการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจให้ประชาชนปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียต่อไป