ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินเผย คนไทยเจ็บป่วยฉุกเฉินปีละ 25 ล้านราย ผนึก พม. ศธ. บุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน จัดเวทีขับเคลื่อนพัฒนาสู่ความยั่งยืน ชูแนวคิด “เจ็บป่วย มีโรคคุมได้ แก้ไขได้ทัน” เตรียมบรรจุเป็นวาระแห่งชาติ ด้านอดีต ขรก.ครู เผยเคล็ดลับอายุยืน100 ปี สุขภาพดี ไม่ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการกระทรวงและโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานงานเวทีประชุมวิชาการ การขับเคลื่อนและพัฒนาสู่ความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “คนไทยไม่เจ็บป่วยฉุกเฉิน มีโรคคุมได้แก้ไขได้ทัน” ตามโครงการส่งเสริมและป้องกัน คนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งมี สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กระทรวง พม. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ 20 ภาคีเครือข่ายร่วมเป็นเจ้าภาพ โดยมีบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉินและผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 500 คนทั้งนี้ในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการให้คำแนะนำเทคนิคการควบคุมโรคและวิธีป้องกันแก้ไข พร้อมฐานสาธิตตัวอย่างการสอนทักษะ “ค่ายรู้รอด ปลอดภัย”

นางสุภัชชา กล่าวว่า โครงการต่างๆ ของสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉิน สอดคล้องกับภารกิจสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนไทยอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จากสถิติปี 2560 มีผู้สูงอายุสูงถึง 11 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 8 ล้านคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ช่วยเหลือตัวเองได้เล็กน้อยประมาณกว่า 2 ล้านคน และเป็นผู้ป่วยติดเตียง 1.5% คาดว่าอีก 13 ปีข้างหน้า ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือจะมีผู้สูงอายุมากถึง 28% ดังนั้น พม.มีความพร้อมขับเคลื่อนพัฒนา มาตรการ กลไก นวัตกรรม และบูรณาการ อีกทั้งสนับสนุนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาชน ร่วมมือกันเพื่อให้ผู้สูงอายุอยู่ดีมีสุข เข้าถึงสวัสดิการทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สังคมผู้สูงอายุของไทยจัดอยู่ในอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งคนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง แม้วัฒนธรรมจะอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ แต่ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ลูกหลานไม่มีเวลาดูแล สะท้อนจากสถิติผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษาเฉลี่ยปีละ 25 ล้านราย ในจำนวนนี้มีทั้งเสียชีวิตและพิการ

ดังนั้นสมาคมฯ และภาคีเครือข่าย จึงมุ่งขับเคลื่อนสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้คนไทยมีสุขภาพดี ลดจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินที่เกิดการเจ็บป่วยด้วยสาเหตุที่ป้องกันได้ รวมทั้งการเสียชีวิต และความพิการจากการเจ็บป่วยฉุกเฉิน มีทักษะเอาตัวรอดหากป่วยฉุกเฉิน หรือช่วยเหลือผู้อื่นได้ ทั้งนี้หากปรับลดพฤติกรรมเสี่ยง และจุดเสี่ยงในบ้านก็จะช่วยลดผู้ป่วยฉุกเฉินได้เช่นกัน

“การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ ต้องหันมาดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี เพื่ออนาคตจะกลายเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุยืนอย่างมีคุณภาพที่สำคัญจะไม่เป็นภาระลูกหลานและประเทศชาติทั้งนี้ผลการดำเนินงานทั้งหมดทางสมาคมฯจะผลักดันให้เป็นนโยบายระดับประเทศต่อไป” นพ.สันต์ กล่าว

ขณะที่นายสว่าง จันทร์พราหมณ์ (อ.ส่วง) อดีตข้าราชการครู อายุ 98 ปีกล่าวถึงเคล็ดลับที่ทำให้สุขภาพดีมีอายุยืนว่า ตนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่และไม่เครียด ที่สำคัญเวลาว่างหรือวันหยุดจะเข้าไปทำงานในสวน เพราะเป็นการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง พออายุ 80 ปี เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นผู้ป่วยติดเตียง ตนจึงต้องหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและเนื้อปลา ต่อมาไม่นานได้ย้ายมาอยู่กับบุตรสาว จึงเปลี่ยนวิธีออกกำลังกายด้วยการวิ่งที่สวนสาธารณะในตอนเช้าแทนการทำสวน และใช้เวลาช่วงบ่ายในการพักผ่อน ส่วนตอนเย็นจะออกไปเดินสลับวิ่งอีกครั้ง เมื่อมีการแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน ก็จะลงแข่งด้วย เพราะรักในการวิ่งอย่างมาก

“ยิ่งออกกำลังกาย ร่างกายยิ่งแข็งแรง คนสูงอายุต้องหาอะไรทำ เพราะจะเหงาและไม่ชอบอยู่คนเดียว จะทำให้เกิดความเครียด ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรม ผมเป็นคนที่อารมณ์ดีมีลูกหลานดูแลใกล้ชิด วันหยุดยาวก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ส่วนวันพิเศษจะมารวมตัวกันทำกับข้าวกินกันที่บ้าน นี่คือสิ่งที่ทำให้มีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี และไม่หวงหากจะนำเคล็ดลับของผมไปทำตาม เพราะจะส่งผลให้มีอายุยืนแน่นอน ทั้งนี้อยากฝากว่าหากใครมีผู้สูงอายุในบ้าน ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย” นายสว่าง กล่าว

เรื่องที่เกี่ยวข้อง