ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สมาคมผู้ป่วยไต เรียกร้องพรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาลในอนาคต “รวมกองทุนสุขภาพ” สร้างรัฐสวัสดิการ เสนอจัดซื้อยารวมเพิ่มอำนาจต่อรอง ลดค่าใช้จ่ายประเทศชาติ

นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนามองไปข้างหน้า “พรรคการเมือง กับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน” ซึ่งอยู่ภายใต้งานรำลึก 11 ปี นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิมิตรภาพบำบัด เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2562 ตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทยที่แบ่งออกเป็น 3 กองทุนใหญ่ๆ อันประกอบด้วย ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่อย่างชัดเจน ให้การรักษาที่ไม่เท่าเทียม และนำมาสู่ความไม่เป็นธรรมในระบบสุขภาพ

นายธนพลธ์ กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้อย่างชัดเจนคืออัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวของแต่ละกองทุน โดยทุกวันนี้กองทุนสวัสดิการข้าราชการเหมาจ่ายอยู่ที่รายละ 1.2 หมื่นบาท ขณะที่บัตรทองอยู่ที่ 3,425 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประกันสังคม หรือในกรณีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองจะใช้ค่าฟอกไตครั้งละ 1,500 บาท ประกันสังคมครั้งละ 1,500 บาทเท่ากัน แต่หากหน่วยบริการคิดราคาเกินกว่า 1,500 บาท กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินเอง ขณะที่สิทธิข้าราชการกำหนดราคาไว้ที่ 2,000 บาท

“ทั้งๆ ที่ทุกคนนอนฟอกไตด้วยเครื่องเดียวกัน เตียงตัวเดียวกัน พยาบาลคนเดียวกัน นี่คือความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน” นายธนพลธ์ กล่าว

นายธนพล กล่าวต่อว่า อยากฝากถึงพรรคการเมืองหรือทีมที่ในอนาคตอาจจะกลายมาเป็นผู้นำของประเทศว่า จำเป็นต้องหาแนวทางรวม 3 กองทุนสุขภาพเป็นกองทุนเดียว แล้วดำเนินการเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ที่ให้รักษาประชาชนด้วยมาตรฐานเดียว และจำเป็นต้องหาทางแก้ไขปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพงและไม่เป็นธรรม แม้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชนแต่ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับประเทศ ทั้งสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ และผลกระทบต่อระบบหลักประกัน และระบบสุขภาพ

นายธนพลธ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นสุดท้ายที่อยากฝากถึงพรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักก็คือมาตรการการจัดซื้อยารวมของประเทศที่ต้องซื้อในลักษณะเป็นกองทุนเดียว ไม่ต้องกระจัดกระจายให้ 3 กองทุนแยกกันซื้อ โดยสิ่งที่ภาคประชาชนอยากเห็นคือให้คนที่มีฝีมือ มีประสบการณ์ในการดำเนินการมาเป็นผู้จัดซื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ประเทศไทยมีอำนาจการต่อรองราคากับบริษัทยาได้อย่างมหาศาล

“ปัจจุบันในราคายาของ 3 กองทุน มีความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น น้ำยาล้างไต ในระบบบัตรทองซื้อในราคาไม่เกิน 113 บาท ประกันสังคมซื้อในราคา 150 บาท ส่วนสวัสดิการข้าราชการซื้อแพงกว่านี้อีก คำถามคือเหตุใดรัฐจึงไม่จัดให้มีการซื้อยารวมกันทีเดียว เป็นกองทุนเดียว ซึ่งทำให้ต่อราคาได้ถูกลงมาก ผมคิดว่าตลอด 10 ปีของระบบหลักประกันสุขภาพ เอาเฉพาะยาราคาแพงซึ่งมีสัดส่วนแค่ 5% ของยาทั้งหมดนั้น ถ้าเรามีการจัดซื้อยารวมจะสามารถประหยัดงบประมาณของประเทศได้เป็นพันล้านบาท” นายธนพล กล่าว

นายธนพลธ์ กล่าวว่า พรรคการเมืองไม่ควรใช้ความคิดเก่าๆ คือมองอยู่แต่เพียงแค่เรื่องของงบประมาณประเทศ แต่ควรมองเรื่องสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก เพราะหากประเทศมีเงินเก็บแต่ประชาชนป่วยก็เท่านั้น ส่วนตัวอยากเห็นพรรคการเมืองที่กล้าตัดสินใจสุดซอย และสิ่งที่ไม่อยากเห็นคือคนไทยล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล