ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เปิดข้อมูลตลาดบุหรี่ไฟฟ้า เจาะเยาวชน เสนอรัฐขอให้ Facebook Line คุมเข้มห้ามขาย ห้ามโฆษณา ประมาณการค่าสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขจากบุหรี่ไฟฟ้า 500 กว่าล้านต่อปี

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ ลอยสมุทร วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการประชุมการขับเคลื่อนเชิงนโยบายการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย จัดโดย ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลับมหิดล ซึ่งเป็นคณะทำงานที่กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งขึ้นเพื่อศึกษาทบทวนมาตรการควบคุมบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ หรือบุหรี่ไฟฟ้า ว่า จากการศึกษาสถานการณ์การแพร่กระจายผลิตภัณฑ์ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ในช่องทางการสื่อสารออนไลน์: ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและการควบคุมยาสูบในประเทศไทย กล่าวว่า จากการศึกษาติดตามการใช้สื่อออนไลน์ในช่วงธันวาคม 2561- พฤษภาคม ปี 2562 พบ ผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าใช้สื่อออนไลน์และสื่อ social media ทุกประเภทเพื่อการแพร่กระจายผลิตภัณฑ์ โดยพบมากที่สุดคือ FACEBOOK มี Facebook ID 94 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26 รองลงมาคือ ไลน์ 86 ID หรือร้อยละ 24 เว็บไซต์ 83 เว็บ หรือร้อยละ 23 อินสตาแกรม 62 ราย หรือร้อยละ17 และทวิตเตอร์ 32 ราย หรือร้อยละ10 รวมทุกสื่อ จำนวน 357 ID

“ผลกระทบที่เกิดจากการเปิดรับสื่อ social media ที่เผยแพร่บุหรี่ไฟฟ้า พบว่า ก่อความเชื่อผิด โดยพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 34 เชื่อว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่เสพติด ร้อยละ 32.2 เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ก่อมะเร็งปอด และร้อยละ 39 เชื่อว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าคือการสูบควันไอน้ำเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ดังนั้นเพื่อการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ภาครัฐควรขอความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับผู้ให้บริการช่องทางสื่อออนไลน์ 2 ช่องทางที่สำคัญ คือ Facebook Thailand และ Line Thailand โดยเฉพาะการห้ามโฆษณา การตลาดเพื่อจำหน่ายบุหรี่ทุกประเภท” ผศ.ดร.ศรีรัช

ด้านภญ.ดร.อรลักษณ์ พัฒนาประทีป สาขาวิชาระบาดวิทยาคลินิกและชีวสถิติคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า การประมาณค่าความสูญเสียที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าในเชิงเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข โดยการสร้างโมเดลเพื่อหาความสูญเสียจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ที่ถูกชักนำด้วยการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในขณะที่เป็นเยาวชน คำนวณในมุมสังคม ต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ ต้นทุนทางตรงที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ และต้นทุนทางอ้อม พบว่า ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการรักษาและค่าเสียโอกาสในการเกิดโรคต่อปีเท่ากับ 534,571,710 บาท ซึ่งเป็นความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์และสุขภาพของเยาวชนและประชาชนไทยที่ต้องแบกรับภาระจากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติม

ผศ.ดร.สุนิดา ปรีชาวงษ์ กลุ่มการวิจัยเพื่อการควบคุมยาสูบ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นที่นิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในสหรัฐอเมริกามีรายงานว่าการใช้บุหรี่บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มนักเรียนมัธยมเพิ่มขึ้นร้อยละ 74 โดยเพิ่มจากร้อยละ 11.7 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 20.8 ในปี 2561 การใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นสาเหตุของการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด, เกิดภาวะที่อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ภายในเซลล์ของร่างกาย, หัวใจเต้นเร็วขึ้น, ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการเสพติด ในปี 2560 มีรายงานการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัยที่เป็นการศึกษาติดตามในระยะยาวเกี่ยวกับบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 9 เรื่อง ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น 16,621 คน อายุระหว่าง 14-30 ปี พบว่า ผู้ที่เคยใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีโอกาสที่จะเริ่มสูบบุหรี่ ร้อยละ 30.4 ในขณะที่ผู้ไม่เคยใช้แนวโน้มที่จะเริ่มสูบเท่ากับ ร้อยละ 7.9 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่เคยใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีโอกาสที่จะเริ่มต้นสูบบุหรี่ชนิดอื่นๆ มากกว่าผู้ที่ไม่เคยลองใช้เกือบ 4 เท่า

ผศ.ดร.สุนิดา กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มผู้สูบบุหรี่ พบว่า หากใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีโอกาสกลับไปสูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถึง 4 เท่า ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาเพิ่มเติมทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย โดยมีผลการศึกษาที่สอดคล้องกันว่า วัยรุ่นซึ่งยังไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนและลองใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มที่จะเริ่มสูบบุหรี่ในภายหลัง เช่น ไต้หวันมีกฎหมายควบคุมบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เมื่อปี 2561 โดยน้ำยาบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีนิโคตินจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยาที่ผิดกฎหมาย และห้ามโฆษณาว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่ปราศจากนิโคตินเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเลิกบุหรี่ แต่ยังมีช่องว่างของกฎหมายทำให้เยาวชนยังหาซื้อบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ได้โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ตเช่นเดียวกับสภาพในประเทศไทย

“ไต้หวันเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับมัธยม 18,064 คน เปรียบเทียบระหว่างปี 2557 และปี 2559 พบว่านักเรียนที่เคยใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มที่เริ่มสูบบุหรี่ในภายหลังมากกว่าพวกที่ไม่เคยใช้ กลุ่มวัยรุ่นในไต้หวันมีแนวโน้มที่จะใช้ทั้งบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และบุหรี่ธรรมดา เพิ่มจากร้อยละ 0.9 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 1.6 ในปี 2559 ที่สำคัญมีความสัมพันธ์ระหว่างการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากับการใช้กัญชาในกลุ่มที่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้ามาก่อนมีโอกาสที่จะสูบกัญชามากกว่าคนที่ไม่เคยใช้ 3.47 เท่า ยิ่งเยาวชนอายุน้อยและใช้ทั้งบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และสูบบุหรี่ด้วย ยิ่งมีแนวโน้มที่จะสูบกัญชามากขึ้น” ผศ.ดร.สุนิดา กล่าว