ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นักวิชาการ ชี้อันตรายสารในบุหรี่ไฟฟ้า ก่อให้เกิดการเสพติดยิ่งกว่าเฮโรอีน แอลกอฮอล์ และกัญชา อุตสาหกรรมทราบดีแต่ปิดบังข้อมูล ขณะที่เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ งัดกลยุทธ์ สร้างแบรนด์ดีเอ็นเอแฝงโฆษณา ปูทางสร้างนักดื่มหน้าใหม่ วอนรัฐดูแล

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2562 ที่โรงแรมแมนดาริน ในเวทีเสวนา “จากบุหรี่ไฟฟ้าถึงเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ทางเลือกเพื่อสุขภาพหรือการตลาดอาบยาพิษ” จัดโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชน ลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม

โดย ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคติน ก่อให้เกิดการเสพติดเหมือนบุหรี่ ซึ่งมีผลวิจัยจากต่างประเทศตั้งแต่ปี 2493 พบว่า นิโคตินมีคุณสมบัติก่อให้เกิดการเสพติดสูงกว่าเฮโรอีน แอลกอฮอล์ และกัญชา ซึ่งอุตสาหกรรมยาสูบทราบดีแต่ปิดบังความจริงนี้ไว้ ขณะที่ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าบางยี่ห้อ มีสารนิโคตินสูงเทียบเท่าบุหรี่แบบปกติ 20 มวน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้นิโคตินเร็วขึ้น 2.7เท่าเมื่อเทียบกับบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้ออื่น ๆ เพื่อให้เกิดการเสพติดได้ง่ายขึ้น จึงไม่แปลกใจที่กลุ่มธุรกิจนี้หรือกลุ่มผู้สนับสนุน พยายามผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเสพบุหรี่ไฟฟ้าได้ด้วยข้ออ้างสารพัด

ดร.วศิน กล่าวต่อว่า ในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย มีผลการศึกษาที่สอดคล้องว่า วัยรุ่นที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนและลองใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะริเริ่มสูบบุหรี่แบบปกติในเวลาต่อมา และพัฒนาไปสู่การเสพติดยาเสพติดประเภทอื่น โดยสหรัฐฯ พบการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนมัธยมเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคน ในปี 2560 เป็น 3.6 ล้านคน และในปี 2561 ส่วนประเทศอิสราเอล ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่งเพราะมีระดับสารนิโคตินเกินมาตรฐาน ขณะที่ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย ฮ่องกง มีปัญหาเรื่องการเพิ่มขึ้นของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน โดยเกาหลีใต้มีงานวิจัยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากับภาวะซึมเศร้าและพฤติกรรมการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น พบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะพยายามฆ่าตัวตาย มากกว่าวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ธรรมดากว่า 6 เท่า

“ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตคือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ของแบตเตอรี่บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ไต้หวันได้ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีมาตรการที่ดีที่สุดคือ ห้ามนำเข้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งล่าสุดขอขอบคุณนายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ให้มีการนำเข้า จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า” ดร.วศิน กล่าว

ด้านดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยระบบสุขภาพและการแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ศวส. สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เคยดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ 4,000 คนจากทั่วประเทศ ระหว่างเดือนมิ.ย.-ส.ค. พบว่า 69% ที่เคยดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ยังคงดื่มเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ตามปกติเท่าเดิม ส่วนคนที่ดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์มาดื่มแทนเบียร์ปกติ มีเพียง 4% กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือประมาณ 3 ใน 4 เมื่อได้เห็นแพ็คเกจเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ทำให้นึกถึงเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ยี่ห้อของบริษัทเดียวกัน อีกทั้ง 40% ระบุว่า เมื่อเห็นโฆษณาเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ยิ่งทำให้อยากซื้อเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ยี่ห้อเดียวกัน และอีก 36% บอกว่าอยากดื่มเบียร์ยี่ห้อนั้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มอตัวอย่างกว่า 70% เห็นด้วยกับการห้ามโฆษณา จำกัดเวลา สถานที่ขาย และไม่เห็นด้วยที่จะให้เยาวชนดื่ม

ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว

“จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ เพราะเป็นกลยุทธ์การตลาดที่หาช่องโหว่ทางกฎหมาย แฝงโฆษณา ใช้สัญลักษณ์ แพ็คเกจ ที่เหมือนหรือคล้ายกับเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ เพื่อหวังขยายฐานลูกค้า ทำกำไร ผลกระทบระยะยาวคือ การเพิ่มยอดขายให้เบียร์เพราะกฎหมายทำอะไรไม่ได้ ชื่อและตราสัญลักษณ์คล้ายกัน จนแทบจะแยกไม่ออก ขณะที่คนใช้เบียร์ไร้แอลกอฮอล์เพื่อดื่มทดแทนมีน้อยแค่ 4% เท่านั้น แต่ผลกระทบมีมากกว่าชัดเจน ต้องฝากภาครัฐให้รู้เท่าทัน กำกับดูแลไม่ให้จดทะเบียนการค้า หรือใช้ตราสัญลักษณ์ที่ใกล้เคียงกัน ต้องแยกประเภทให้มีความแตกต่าง คำนึงถึงผลกระทบ เพราะหากมีการโฆษณามากขึ้น เท่ากับกระตุ้นการดื่ม ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คนดื่มมี 3 อย่าง คือ ราคา การโฆษณา การเข้าถึง เมื่อมีการดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งมาก ผลกระทบและอันตรายจะยิ่งทวีคูณ” ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว

ดร.บุญอยู่ ขอพรประเสริฐ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าตามกฎหมายห้ามโฆษณาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ภาคธุรกิจทำคือ ใช้ปรากฎในสื่อออนไลน์ เน้นให้ข้อมูลเชิงวิชาการผ่านบทความเชิงให้ความรู้ โดยแฝงว่าจะช่วยลดการสูบบุหรี่ได้ และบุหรี่ไฟฟ้ามีโทษน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา ซึ่งธุรกิจใช้เทคนิคการเขียนแบบเนียนๆ แล้วเผยแพร่ผ่านสื่อสาธารณะ ผ่านโซเชียลมีเดีย จนทำให้เกิดกระแส แต่จริงๆ แล้วเป็นกลยุทธ์แฝงโฆษณา ทำให้คนส่วนหนึ่งแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง อยากฝากเจ้าหน้าที่ให้ควบคุมเข้มงวด ห้ามนำเข้า ใช้ข้อบังคับตามกฎหมายห้ามโฆษณาเด็ดขาด

ดร.บุญอยู่ ขอพรประเสริฐ

ดร.บุญอยู่ กล่าวกว่า ปรากฎการณ์เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่เป็นกระแสแรงในขณะนี้ เพราะมีการโหมการตลาด จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทำโฆษณาทางสื่อ แม้ยอดขายเบียร์น้อย แต่การโฆษณาได้ผล ชัดเจนว่าเป็นการจงใจโฆษณาเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ เพราะใช้แบรนด์ดีเอ็นเอเดียวกันกับเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ พยายามเอาผลิตภัณฑ์ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ของกฎหมายมาสื่อสาร สร้างการรับรู้ ทั้งที่จริงๆ แล้วคือยี่ห้อเดียวกัน โลโก้เหมือนกันมาก เข้าข่ายเป็นการโฆษณาเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องนำประเด็นนี้เข้าไปพิจารณา หรือปรับแก้กฎหมายพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เพื่อควบคุมเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“น่าเป็นห่วงที่เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ทำให้เด็กดื่มได้ เป็นการปลูกฝังให้เด็กชินกับเบียร์ ถ้าพ่อแม่ไม่รู้เท่าทันจะบ่มเพาะนิสัยเพิ่มดีกรีเมื่อเด็กโตขึ้น เหมือนสอนเด็กจากที่ดื่มเบียร์ไม่เป็น ให้ดื่มเบียร์ได้ จึงอยากเรียกร้องให้ธุรกิจเบียร์ว่าให้ทำการตลาดอย่างมีธรรมาภิบาล ยึดหลักจริยธรรมตรงไปตรงมา และน่าเป็นห่วงว่าหากต่อไปเด็กนักเรียนนักศึกษาอาจจะนิยมกินดื่มกันในสถานศึกษา ซึ่งไม่มีกฎหมายห้าม ย่อมเกิดปัญหาและความยุ่งยากตามมาแน่นอน” ดร.บุญอยู่ กล่าว